แผลในกระเพาะอาหาร

ความหมาย แผลในกระเพาะอาหาร

แผลในกระเพาะอาหาร (Peptic Ulcer) คือ แผลที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุของกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น อาการที่พบได้บ่อยคือปวดท้อง มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร หรือการใช้ยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสดเป็นเวลานาน เช่น แอสไพริน ไอบูโปรเฟน เป็นต้น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดอาจทำให้อาการแย่ลงได้ แผลในกระเพาะอาหารพบมากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หากปล่อยไว้แล้วไม่ได้รับการรักษาจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น และเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

568 Peptic UlcerRe

อาการของแผลในกระเพาะอาหาร

อาการสำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหารคือ ปวดท้องหรือแสบที่กระเพาะอาหาร มักมีอาการตอนท้องว่างหรือประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร อาจตื่นกลางดึกจากอาการปวดหรือแสบท้อง อาการจะดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหารหรือยาลดกรด และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยดังต่อไปนี้

  • แสบร้อนกลางอก
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • หายใจลำบาก
  • รู้สึกจะเป็นลม
  • น้ำหนักลดลง
  • เบื่ออาหาร
  • อาหารไม่ย่อย
  • เรอ แน่นท้อง หรือท้องอืด หลังรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

ควรไปพบแพทย์หากพบอาการข้างต้นหรือมีอาการปวดอีกครั้งหลังรับประทานยาลดกรด และควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนหากอาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้อง หรือมีอาการแย่ลง

สาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร

ในระบบทางเดินอาหารจะมีชั้นเมือก (Mucous) เคลือบอยู่ หากปริมาณของน้ำเมือกและกรดไม่สมดุลกัน จะทำให้เกิดแผลที่เยื่อบุของกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้นได้ โรคแผลในกระเพาะอาหารมีหลายสาเหตุดังต่อไปนี้

  • เชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori) จะอาศัยอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นสาเหตุให้เกิดการระคายเคืองและเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเสียหายจากกรดในกระเพาะอาหาร ติดเชื้อได้กับทุกวัย แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใดผู้ป่วยบางรายจึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรได้มากกว่าผู้ป่วยรายอื่น ๆ
  • การใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) นาโปรเซน (Naproxen) รวมถึงยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มยาเอ็นเสด (NSAIDs) อื่น ๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่ใช้ยารักษาโรคข้อเข่าเสื่อม รวมถึงการใช้ยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสดร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ ได้แก่
  • ยาสเตียรอยด์ (Steroids)
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น เฮพาริน (Heparin) วอร์ฟาริน (Warfarin)
  • ยารักษาโรคซึมเศร้า (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors: SSRIs) เช่น ไซตาโลแพรม (Citalopram) ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine) ฟลูวอกซามีน (Fluvoxamine) พาร็อกซีทีน (Paroxetine) เซอร์ทราลีน (Sertraline)
  • ยารักษาโรคกระดูกพรุน เช่น อะเลนโดรเนท (Alendronate) ไรซีโรเนต (Risedronate)

ปัจจัยอื่น ๆ และพฤติกรรมบางอย่าง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ เช่น

  • การสูบบุหรี่
  • การดื่มแอลกอฮอล์
  • การรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ด
  • ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
  • พบได้มากขึ้นในผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • ผู้ที่มีระดับแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia)

การวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหาร

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการของผู้ป่วย ประวัติการใช้ยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสดและยาอื่น ๆ รวมถึงตรวจร่างกาย เพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรค หรือทำการทดสอบต่าง ๆ โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้

  • การทดสอบการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร ทำได้หลายแบบ เช่น ทางลมหายใจ ทางอุจจาระ หรือทางเลือด โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้
  • การทดสอบเอนไซม์ยูรีเอส (Urease Test) เป็นวิธีที่ใช้ทดสอบมากที่สุดในประเทศไทย ผู้ที่จะเข้ารับการทดสอบควรหยุดยา Proton Pump Inhibitor: PPI ก่อนการทดสอบอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ผลการทดสอบคลาดเคลื่อนได้
  • การตรวจหาแบคทีเรียจากอุจจาระ (Stool Antigen Test) โดยใช้ตัวอย่างอุจจาระในผู้ป่วยไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียในห้องปฏิบัติการ
  • การตรวจหาแบคทีเรียจากเลือด (Blood Test) เพื่อหาสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ต่อเชื้อแบคทีเรีย
  • การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนต้น (Gastroscopy) โดยการใส่ท่อขนาดเล็กติดกล้องที่ส่วนปลาย (Endoscope) ผ่านทางปากลงไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น หรืออาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปทดสอบการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรร่วมด้วย
  • การตรวจกระเพาะอาหารด้วยการกลืนแป้ง (Upper GI Series) เป็นการจำลองภาพของระบบทางเดินอาหารด้วยการเอกซเรย์ร่วมกับการกลืนของเหลวสีขาวที่มีส่วนผสมของแบเรียม ทำให้เห็นภาพของแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นชัดเจนขึ้น

การรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

การรักษาทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เช่น การใช้ยา หรือการผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง วิธีการรักษามีรายละเอียดแตกต่างกันดังต่อไปนี้

  • การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) คลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin) เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ทินิดาโซล (Tinidazole) เตตราไซคลีน (Tetracycline) ลีโวฟลอกซาซิน (Levofloxacin) เป็นต้น ในการรักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียเอชไพโลไรอาจต้องใช้ยาหลายชนิดเช่น สูตรยา Triple Therapy รับประทานต่อเนื่องนานประมาน 10-14 หลังสิ้ดสุดการใช้ยาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ควรกลับมาทำการทดสอบยืนยัน (Confirmation Test) ว่ากำจัดเชื้อแบคทีเรียได้สำเร็จหรือไม่ ด้วยการทดสอบแบบ Non-Invasive: UBT หรือการตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจที่ราคาไม่แพงและมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหารที่มีเชื้อเอชไพโลไร ผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อยเป็นประจำ (Persistent Dyspepsia) ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด MALT และผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะเริ่มต้นที่ได้รับการตัดรอยโรคหรือตำแหน่งที่มีความผิดปกติออกแล้ว
  • การใช้ยา Proton pump inhibitors: PPIs เช่น โอเมพราโซล (Omeprazole) แลนโซพราโซล (Lansoprazole) ราบีพราโซล (Rabeprazole) อีโซเมปราโซล (Esomeprazole) แพนโทพราโซล (Pantoprazole) เป็นต้น เพื่อยับยั้งการสร้างกรดและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร หากใช้ยาในปริมาณมากและเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ เช่น วิงเวียน ปวดศีรษะ ท้องเสียหรือท้องผูก ปวดท้อง รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือ หรือกระดูกสะโพกหักได้
  • การใช้ยา H2-Receptor Antagonists เช่น แรนิทิดีน (Ranitidine) ฟาโมทิดีน (Famotidine) ไซเมทิดีน (Cimetidine) เป็นต้น เพื่อยับยั้งการสร้างกรดและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
  • การใช้ยาเคลือบกระเพาะอาหาร เช่น ซูคราลเฟต (Sucralfate) ไมโซพรอสทอล (Misoprostol) เป็นต้น เพื่อปกป้องเยื่อบุในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กจากการทำลายของกรด
  • การผ่าตัด มักใช้ในผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารแล้วไม่เข้ารับการรักษา มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กฉีกขาด เป็นต้น
  • การปรับการใช้ยาในผู้ป่วยแผลในกระเพาะอาหารที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยาเอ็ดเสด (NSAIDs) โดยเปลี่ยนเป็นพาราเซตามอลหรือยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสดอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้น้อยกว่า เช่น เซเลโคซิบ (Celecoxib) ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม COX-2 Inhibitor เป็นต้น

ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นแผลในกระเพาะอาหารชนิดที่รักษาไม่หาย (Refractory Ulcers) โดยเฉพาะบุคคลดังต่อไปนี้

  • ผู้ที่ไม่รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไรบางชนิดดื้อต่อการใช้ยาปฏิชีวนะ
  • ผู้ที่มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่
  • ผู้ที่ใช้ยาบรรเทาอาการปวดที่เพิ่มความต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เช่น แอสไพริน ไอบูโปรเฟน นาโปรเซน เป็นต้น
  • ผู้ที่ร่างกายผลิตกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เช่น ผู้ป่วยกลุ่มอาการโซลลิงเจอร์-เอลลิสัน (Zollinger-Ellison Syndrome)
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อนอกเหนือจากเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร
  • ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
  • ผู้ที่เป็นโรคซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เช่น ผู้ป่วยโรคโครห์น (Crohn's Disease)

ภาวะแทรกซ้อนของแผลในกระเพาะอาหาร

แผลในกระเพาะอาหาร หากปล่อยไว้แล้วไม่ได้รับการรักษาจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น และเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้ดังต่อไปนี้

  • เลือดออกภายในช่องท้อง เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้มาก อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณี ในกรณีที่เลือดออกช้าและเป็นเวลานาน ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย หายใจหอบ ผิวซีด หัวใจเต้นแรงจนสังเกตได้ วิงเวียนศีรษะ อุจจาระเป็นเลือดหรือมีสีดำ อาเจียนเป็นเลือด เป็นต้น
  • อวัยวะภายในช่องท้องทะลุ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยาก แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหารเล็ดลอดออกไป ทำให้เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ติดเชื้อในกระแสเลือด การทำงานของอวัยวะภายในร่างกายล้มเหลว หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิต
  • ทางเดินอาหารอุดตัน จากอาการบวมหรือแผลที่เป็นผลมาจากแผลในกระเพาะอาหารทำให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านได้ยากขึ้น ผู้ป่วยจะอาเจียนเป็นอาหารที่ยังไม่ผ่านการย่อยในปริมาณมาก ท้องอืด รู้สึกอิ่มมากหลังการรับประทานอาหารมื้อเล็ก หรือน้ำหนักลดลง

การป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือวิถีชีวิตบางอย่างอาจป้องกันหรือบรรเทาอาการของแผลในกระเพาะอาหาร โดยปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ธัญพืช ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซี รวมถึงอาหารที่อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีชีวิต (Probiotics) เช่น โยเกิร์ต ชีส
  • หลีกเลี่ยงการดื่มนม เพราะอาจช่วยลดอาการปวดท้องในเบื้องต้น แต่จะเพิ่มปริมาณของกรดในกระเพาะอาหารและทำให้มีอาการปวดที่รุนแรงมากขึ้นในภายหลัง
  • หากใช้ยาบรรเทาอาการปวดเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาบรรเทาอาการปวดอื่น ๆ เช่น เลือกใช้พาราเซตามอล หรืออะเซตามิโนเฟน เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  • จัดการหรือรับมือกับความเครียดด้วยการออกกำลังกาย ใช้เวลากับเพื่อน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชื่นชอบ เพราะหากความเครียดลงกระเพาะอาจทำให้อาการของแผลในกระเพาะอาหารแย่ลงได้
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำปริมาณกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มมากขึ้น และอาจส่งผลต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร
  • ลดปริมาณหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากจะไปกัดชั้นเมือกในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นสาเหตุให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ และไม่ควรรับประทานยาพร้อมกับการดื่มแอลกอฮอล์
  • ล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง รวมถึงหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารในช่วงก่อนนอน