เกล็ดเลือดต่ำ

ความหมาย เกล็ดเลือดต่ำ

เกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)  คือ ภาวะที่เกล็ดเลือดมีจำนวนน้อยกว่า 150,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร อาจพบรอยช้ำ เป็นจ้ำ หรือจุดแดงใต้ผิวหนัง รวมถึงมีเลือดออกมาก ถึงแม้จะเป็นแผลขนาดเล็ก โดยมีสาเหตุมาจากการผลิตเกล็ดเลือดที่บริเวณไขกระดูกไม่เพียงพอ หรือภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเกล็ดเลือด รวมถึงม้ามอาจมีการกักเกล็ดเลือดมากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อ โรคมะเร็ง หรือตับแข็ง ซึ่งรักษาได้ตามสาเหตุ หากผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำมากอย่างรุนแรงอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเลือดออกในสมอง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้

เกล็ดเลือดต่ำ

อาการของเกล็ดเลือดต่ำ

เลือดออก เป็นอาการสำคัญของผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ในบางรายอาจไม่พบอาการจนกระทั่งมีการเจาะเลือด อาการจะขึ้นอยู่กับจำนวนของเกล็ดเลือดว่ามีจำนวนต่ำมากหรือน้อยเพียงใด หากมีอาการรุนแรงอาจทำให้เลือดไหลไม่หยุด รวมถึงอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยดังต่อไปนี้

  • รอยช้ำสีแดง สีม่วง หรือสีน้ำตาล กระจายใต้ผิวหนัง
  • ผื่นสีแดงหรือสีม่วง เป็นจุดขนาดเล็กกระจายใต้ผิวหนัง
  • เลือดออกที่จมูกหรือเหงือก
  • เลือดออกมากหลังเกิดบาดแผล ถึงแม้จะเป็นบาดแผลขนาดเล็ก
  • ประจำเดือนมามากผิดปกติ

อาจพบอาการเลือดออกภายในหรือมีอาการรุนแรงได้ หากมีจำนวนเกล็ดเลือดในปริมาณต่ำมาก เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด หรืออุจจาระมีสีเข้มมาก รวมถึงอาการเลือดไหลไม่หยุด ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

สาเหตุของเกล็ดเลือดต่ำ

ปกติคนเราจะมีจำนวนเกล็ดเลือดอยู่ที่ประมาณ 150,000-450,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร แต่ละเกล็ดจะมีชีวิตอยู่ประมาณ 10 วัน ร่างกายจะผลิตเกล็ดเลือดใหม่ออกมาจากบริเวณไขกระดูก รวมถึงผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์เม็ดเลือดแดง หากร่างกายผลิตเกล็ดเลือดออกมาไม่เพียงพอหรือมีการทำลายเกล็ดเลือดมากกว่าที่ผลิตออกมา จะทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ อาจแบ่งสาเหตุได้เป็น 3 ประเภท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • สาเหตุจากการสร้างเกล็ดเลือด เป็นผลมาจากไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือดได้ไม่เพียงพอ เช่น
    • โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (Aplastic Anemia) เป็นโรคเลือดผิดปกติที่พบค่อนข้างน้อยและร้ายแรง ทำให้ไขกระดูกไม่สามารถผลิตเกล็ดเลือดใหม่ออกมาได้เพียงพอ
    • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะไปทำลายไขกระดูกและเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ (Stem Cell)
    • การรักษาบางชนิด เช่น การฉายรังสี หรือการทำเคมีบำบัด ซึ่งเป็นการรักษาโรคมะเร็ง
    • การสัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น สารกำจัดศัตรูพืช สารหนู หรือเบนซีน (Benzene) จะเข้าไปชะลอการผลิตเกล็ดเลือดในร่างกาย
    • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย จะส่งผลต่อการสร้างเกล็ดเลือด และยาแอสไพริน (Aspirin) หรือยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) จะส่งผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด
    • การดื่มแอลกอฮอล์ จะชะลอการผลิตเกล็ดเลือด และทำให้จำนวนเกล็ดเลือดต่ำลงโดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
    • การขาดแร่ธาตุและวิตามิน เช่น วิตามินบี 12 โฟเลท ธาตุเหล็ก
    • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น อีสุกอีใส คางทูม หัดเยอรมัน ไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr Virus) หรือ พาร์โวไวรัส (Parvovirus) รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเอดส์ (AIDS) หรือโรคตับอักเสบซี (Hepatitis C)
    • พันธุกรรม เช่น ภาวะภูมิต้านทานบกพร่อง Wiskott-Aldrich Syndrome
  • สาเหตุจากการทำลายเกล็ดเลือด เป็นผลมาจากร่างกายใช้หรือทำลายเกล็ดเลือดมากเกินไป เช่น
    • โรคภูมิต้านทานตนเอง หรือโรคออโตอิมมูน (Autoimmune Diseases) เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันที่ปกติจะต้องกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย แต่เกิดความผิดพลาดไปทำลายเซลล์ เนื้อเยื่อในร่างกาย รวมถึงเกล็ดเลือด จะทำให้เกิดภาวะต่าง ๆ ตามมา เช่น
    • ภาวะ Immune Thrombocytopenia: ITP
    • โรคลูปัส (Lupus) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) หรือที่รู้จักกันในชื่อโรคพุ่มพวง
    • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)
    • การใช้ยาบางชนิด การตอบสนองต่อยาอาจสร้างความสับสนให้กับร่างกายและเกิดการทำลายเกล็ดเลือดได้ เช่น
      • ยาควินิน เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคมาลาเรีย
      • ยาแวนโคมัยซิน เป็นยาที่ใช้รักษาภาวะติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินอาหารและอาการลำไส้อักเสบ
      • ยาไรแฟมพิน เป็นยาที่ใช้รักษาวัณโรค
      • ยาเฮปพาริน เป็นยาที่ใช้รักษาและป้องกันภาวะลื่มเลือดอุดตัน จะไปทำปฏิกิริยากับระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากยาเฮปพาริน แต่ค่อนข้างพบได้น้อย
      • ยาโคลพิโดเกรล เป็นยาที่ใช้ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด
      • การติดเชื้อไวรัส เช่น โมโนนิวคลิโอสิส หรือไซโตเมกาโลไวรัส  รวมถึงภาวะโลหิตเป็นพิษที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
      • การผ่าตัด เช่น การผ่าตัดลิ้นหัวใจเทียม การผ่าตัดหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจหรือการผ่าตัดบายพาส
      • การตั้งครรภ์ ร้อยละ 5 ของหญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอด จะมีโอกาสเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด
      • เงื่อนไขอื่น ๆ ที่พบได้ค่อนข้างน้อยและมีอาการรุนแรง ที่ทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันและเกล็ดเลือดต่ำ เช่น
        • ภาวะ Thrombotic Thrombocytopenic Purpura: TTP ทำให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดในร่างกาย หลอดเลือดในสมอง ไต และหัวใจ
        • ภาวะ Disseminated Intravascular Coagulation: DIC ทำให้เกิดลิ่มเลือดขึ้นทั่วร่างกายอย่างกะทันหัน เป็นภาวะแทรกซ้อนหนึ่งของการตั้งครรภ์ การติดเชื้ออย่างรุนแรง รวมถึงการบาดเจ็บอย่างรุนแรง
  • สาเหตุจากเกล็ดเลือดถูกกักอยู่ที่ใดที่หนึ่งมากเกินไป เช่น ม้าม มีหน้าที่ขจัดเชื้อโรคและเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ตายแล้วออกจากกระแสเลือด ปกติเกล็ดเลือดประมาณ 1 ใน 3 จะถูกกักอยู่ที่ม้าม หากเกิดการติดเชื้อ โรคมะเร็ง หรือตับแข็ง เกล็ดเลือดจะถูกกักที่ม้ามมากขึ้น ทำให้ม้ามโต และทำให้เกล็ดเลือดไหลเวียนไม่เพียงพอในกระแสเลือด และเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำในที่สุด

การวินิจฉัยเกล็ดเลือดต่ำ

หากแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยมีเกล็ดเลือดต่ำ จะมีแนวทางปฏิบัติในการวินิจฉัยดังต่อไปนี้

  • การซักประวัติผู้ป่วย ถึงสาเหตุที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ เช่น ประวัติการใช้ยา พฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเอดส์ การให้เลือด ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ การใช้ยาที่ฉีดเข้าร่างกาย การสัมผัสเลือดที่ติดเชื้อ หรือสารคัดหลั่งอื่น ๆ รวมถึงประวัติการเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำของสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น
  • การตรวจร่างกาย เพื่อหาร่องรอยของอาการเลือดออก เช่น รอยช้ำหรือจุดแดงใต้ผิวหนัง ตรวจที่หน้าท้องว่ามีอาการของม้ามโตหรือไม่ หรือมีไข้ ซึ่งเป็นอาการของการติดเชื้อหรือไม่
  • การตรวจเลือด เพื่อนับจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ในผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ จะมีจำนวนของเกล็ดเลือดต่ำกว่า 150,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร ซึ่งการตรวจเลือดทำได้หลายวิธี เช่น การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count) การตรวจสเมียร์เลือด (Blood Smear) ดูรูปร่างลักษณะของเกล็ดเลือด รวมถึงการตรวจหาจำนวนของสารภูมิต้านทาน หรือแอนติบอดี้ (Amtibody) เป็นโปรตีนที่ร่างกายผลิตออกมาเพื่อทำลายเกล็ดเลือด
  • การตรวจไขกระดูก เนื่องจากไขกระดูกเป็นอวัยวะที่ใช้ในการสร้างเกล็ดเลือด เพื่อหาสาเหตุว่าทำไมไขกระดูกจึงสร้างเกล็ดเลือดได้ไม่เพียงพอ ตรวจได้ 2 วิธีคือ การเจาะไขกระดูก (Aspiration) แล้วนำไปส่องกล้องเพื่อหาความผิดพลาดของเซลล์ หรือการตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ซึ่งจะทำหลังการเจาะไขกระดูก ส่วนมากมักตรวจที่ไขกระดูกสะโพก เพื่อตรวจสอบจำนวนและชนิดของเซลล์
  • การตรวจอื่น ๆ เช่น การตรวจ Prothrombin time: PT หรือการตรวจ Partial Thromboplastin Time: PTT เพื่อตรวจการแข็งตัวของเลือด หรือแพทย์อาจตรวจอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) เพื่อดูว่าม้ามมีการขยายตัวใหญ่ขึ้นหรือไม่

การรักษาเกล็ดเลือดต่ำ

แพทย์จะรักษาเกล็ดเลือดต่ำเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและความพิการที่อาจเกิดขึ้น วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการในผู้ป่วยแต่ละราย

ในผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำไม่มาก หากเกิดบาดแผลแล้วพบว่ามีเลือดไหลไม่มากไปกว่าปกติ อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ในผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยาบางชนิด แพทย์อาจเปลี่ยนยาหรือให้หยุดยาที่เป็นต้นเหตุ หรือแพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับประทานยาเพื่อยับยั้งภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยเกล็ดเลือดต่ำที่มีสาเหตุมาจากปัญหาของระบบภูมิคุ้มกัน

ในผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำมาก แพทย์อาจมีแนวทางในการรักษาดังต่อไปนี้

  • การรักษาด้วยการใช้ยา
    • ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ในรูปแบบยารับประทานหรือยาฉีด เพื่อชะลอการทำลายเกล็ดเลือด เช่น เพรดนิโซน (Prednisone)
    • อิมมิวโนโกลบูลิน (Immunoglobulins) หรือ ริทูซิแมบ (Rituximab) เป็นยาชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด เพื่อยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน
    • ยา Eltrombopag หรือยา Romiplostim เป็นยาชนิดฉีดเข้าที่ใต้ผิวหนัง เพื่อช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเกล็ดเลือด
  • การให้เลือดหรือเกล็ดเลือด ในผู้ป่วยที่มีเลือดออกหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเลือดออกมาก
  • การผ่าตัดม้าม แพทย์จะผ่าตัดหากรักษาด้วยวิธีการใช้ยาแล้วไม่เป็นผล มักผ่าตัดให้ผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ที่มีภาวะ Immune Thrombocytopenia: ITP ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดม้ามออกแล้ว จะทำให้ป่วยและติดเชื้อได้ง่าย หากมีไข้ หรือพบอาการอื่น ๆ ของการติดเชื้อ ควรไปพบแพทย์ทันที รวมถึงอาจต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นต่อไป

การป้องกันการเลือดออกในผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำ ทำได้โดย

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะจะทำให้อาการแย่ลงได้
  • หลีกเลี่ยงกีฬาที่มีการกระแทกและอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ เช่น ฟุตบอล ศิลปะการต่อสู้ เป็นต้น
  • ใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงเลือดออกที่เหงือกในขณะแปรงฟัน
  • สวมใส่อุปกรณ์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น คาดเข็มขัดนิรภัยในขณะขับขี่รถยนต์ ใส่ถุงมือหรือแว่นตาในขณะที่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของเกล็ดเลือดต่ำ

ในผู้ป่วยที่มีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำมาก หรือต่ำกว่า 10,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร ในบางกรณีที่ค่อนข้างพบได้น้อย อาจทำให้ผู้ป่วยมีเลือดออกในสมอง ทำให้มีอาการปวดศีรษะหรือปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ควรรีบไปพบแพทย์โดบด่วน

การป้องกันเกล็ดเลือดต่ำ

การป้องกันทำได้ แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะไปชะลอการสร้างเกล็ดเลือด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมี เช่น สารกำจัดศัตรูพืช สารหนู หรือเบนซีน (Benzene) เพราะจะเข้าไปชะลอการผลิตเกล็ดเลือดในร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลต่อจำนวนและการทำงานของเกล็ดเลือด อาจทำให้เกิดเลือดออก หรือทำให้เลือดจางลงได้ เช่น แอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนการเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ เช่น วัคซีนป้องกันโรคคางทูม หัดเยอรมัน อีสุกอีใส เป็นต้น