ฝากครรภ์: เตรียมความพร้อมเพื่อสุขภาพที่ดีของทารก

ฝากครรภ์ (Antenatal Care) คือ การดูแลสุขภาพครรภ์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนถึงก่อนคลอด โดยสตรีที่เริ่มตั้งครรภ์ควรพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์ทันที และเข้ารับการตรวจครรภ์ตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะตรวจสุขภาพของผู้ตั้งครรภ์และทารก ให้ข้อมูลหรือคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพครรภ์อย่างถูกต้อง และตอบข้อสงสัยของผู้ป่วย ทั้งนี้ ผู้ตั้งครรภ์อาจเข้าคอร์สเตรียมความพร้อมสำหรับคุณแม่มือใหม่ โดยแพทย์จะแนะนำคอร์สที่เหมาะสมให้ อย่างไรก็ตาม คอร์สเตรียมความพร้อมสำหรับคุณแม่มือใหม่ยังไม่แพร่หลายในไทยนัก ซึ่งมีเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งเท่านั้น

ฝากครรภ์

การฝากครรภ์ถือว่าสำคัญมาก เพราะแพทย์จะช่วยดูแลให้สุขภาพของผู้ตั้งครรภ์และทารกแข็งแรงปลอดภัย ผู้ตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ฝากครรภ์เสี่ยงให้กำเนิดบุตรที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าผู้ที่ฝากครรภ์มากถึง 3 เท่า อีกทั้งเด็กที่คลอดออกมานั้นก็เสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าทารกที่มารดาเข้ารับการฝากครรภ์มากถึง 5 เท่า หากผู้ตั้งครรภ์เข้ารับการฝากครรภ์และไปตรวจตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เด็กปลอดภัยได้ กล่าวคือ แพทย์สามารถตรวจเจอความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเด็กและรักษาหรือป้องกันได้ทัน

การเตรียมตัวสำหรับฝากครรภ์

การฝากครรภ์ควรเริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์เพื่อวางแผนการมีบุตรอย่างปลอดภัย โดยผู้ตั้งครรภ์ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ ผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หอบหืด ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ อาการแพ้ต่าง ๆ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือซึมเศร้า รวมทั้งผู้ที่มีคู่ครองหรือบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมและมีเชื้อพาหะ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ โดยแพทย์ที่ควรไปพบเพื่อให้ช่วยดูแลสุขภาพตลอดการตั้งครรภ์นั้น ได้แก่

  • สูติแพทย์ คือผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพครรภ์และคลอดบุตร โดยสูติแพทย์จะช่วยดูแลผู้ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาสุขภาพรวมทั้งผู้ที่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ สตรีตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูงจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (Maternal-Fetal Medicine Specialist: MFM) ทั้งนี้ สูติแพทย์ยังช่วยผ่าคลอดให้แก่สตรีมีครรภ์และช่วยดูแลปัญหาสุขภาพทุกเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว
  • พยาบาลผดุงครรภ์ คือผู้ที่ช่วยดูแลระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอดบุตร โดยพยาบาลผดุงครรภ์นั้นต้องได้รับการฝึกฝนและขึ้นทะเบียนรับรอง นับเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสตรีมีครรภ์ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำในการเกิดปัญหาระหว่างตั้งครรภ์และการคลอดบุตร
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการคลอดบุตร คือผู้ที่ช่วยให้สตรีมีครรภ์คลอดบุตรได้ง่าย โดยจะทำงานร่วมกับพยาบาลผดุงครรภ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการคลอดบุตรจะแนะนำเรื่องการหายใจ การผ่อนคลายร่างกาย การขยับร่างกาย และตำแหน่งของร่างกาย

สตรีมีครรภ์ควรติดต่อแพทย์ครอบครัวหรือพยาบาลผดุงครรภ์เมื่อรู้ว่าตัวเองมีบุตรเพื่อฝากครรภ์ สตรีที่เข้ารับการฝากครรภ์จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพครรภ์ของตนได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งได้รับการตรวจคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งกระบวนการนี้ควรทำก่อนอายุครรภ์ครบ 10 สัปดาห์ ทั้งนี้ แพทย์จะคอยดูแลปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตลอดการตั้งครรภ์

การเข้ารับการตรวจครรภ์ตามนัด

ผู้ตั้งครรภ์ควรเข้ารับการฝากครรภ์กับแพทย์ โดยแพทย์จะนัดตรวจครรภ์ตลอดช่วงที่ตั้งครรภ์ไปจนถึงตอนก่อนคลอด ซึ่งการนัดตรวจแต่ละครั้งมีรายละเอียด ดังนี้

  • นัดตรวจครั้งแรก เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ควรพบแพทย์เพื่อตรวจครรภ์ครั้งแรก โดยแพทย์จะนัดตรวจครั้งต่อไปตามตารางนัดที่ให้แก่ผู้ตั้งครรภ์ การตรวจครรภ์ครั้งแรกมีรายละเอียด ดังนี้
    • ให้ข้อมูลและประวัติการรักษา เบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติผู้ป่วย ได้แก่ วันแรกของการมีรอบเดือนครั้งล่าสุด ประวัติการป่วยของบุคคลในครอบครัว การใช้ยาหรือรับประทานอาหารเสริมของผู้ตั้งครรภ์ ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้ตั้งครรภ์เอง ทั้งนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับวันที่รอบเดือนมานั้นจะช่วยคำนวณวันคลอดบุตรได้ โดยแพทย์จะนำวันแรกของรอบเดือนครั้งล่าสุดมาบวกเพิ่มอีก 7 วัน แล้วนับย้อนหลังไปอีก 3 เดือน ซึ่งวันครบกำหนดคลอด (Expected Date of Confinement: EDC) จะกินเวลาประมาณ 40 สัปดาห์นับตั้งแต่วันสุดท้ายที่มีประจำเดือน
    • ตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเริ่มจากชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง เพื่อประเมินระดับความยากง่ายในการคลอดธรรมชาติ ทั้งนี้ แพทย์ยังนำน้ำหนักมาเปรียบเทียบดูว่าผู้ตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสมหรือไม่ ต่อมาแพทย์จะวัดสัญญาณชีพจร รวมทั้งตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ปากและฟัน เต้านมและหัวนม หรือตรวจคลำหน้าท้อง เพื่อดูปัญหาสุขภาพอื่น ๆ นอกจากนี้ แพทย์จะตรวจช่องคลอดและปากมดลูก การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกและขนาดมดลูกจะช่วยระบุอายุครรภ์ให้ชัดเจนมากขึ้น สตรีมีครรภ์อาจต้องรับการตรวจภายใน (Pap Test) เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วย
    • ตรวจเลือด เมื่อเข้ารับการตรวจครรภ์ครั้งแรก แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อนำไปวินิจฉัยหมู่โลหิตระบบอาร์เอช ฮีโมโกลบิน การติดเชื้อของระบบภูมิคุ้มกัน และการติดเชื้ออื่น ๆ โดยการวินิจฉัยแต่ละอย่างมีรายละเอียดดังนี้
      • หมู่โลหิตระบบอาร์เอช (Rhesus, Rh) และคัดกรองโรค การตรวจเลือดจะช่วยแสดงค่าอาร์เอชซึ่งถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม เป็นสารโปรตีนที่พบได้บนพื้นผิวของเซลล์เม็ดเลือดแดง สตรีมีครรภ์ที่มีค่าอาร์เอชเป็นลบ แต่สามีมีค่าอาร์เอชบวก จำเป็นต้องได้รับการดูแลครรภ์เป็นพิเศษ นอกจากนี้ การตรวจเลือดยังใช้ตรวจคัดกรองภาวะซีดและพาหะโรคธาลัสซีเมีย ผู้ที่ป่วยเป็นภาวะโลหิตจางมักมีฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดงต่ำ   
      • การติดเชื้ออื่น ๆ การตรวจเลือดยังช่วยตรวจหาการติดเชื้อหลายอย่างได้ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี ซิฟิลิส เชื้อเอชไอวี
      • ตรวจตัวอย่างปัสสาวะ แพทย์จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อนำไปตรวจหาการติดเชื้ออื่น ๆ
  • นัดตรวจครั้งต่อไป หลังจากเข้ารับการตรวจครรภ์ครั้งแรกแล้ว แพทย์จะนัดตรวจครั้งต่อไป โดยการตรวจครรภ์แต่ละครั้งแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงอายุครรภ์ 4-28 สัปดาห์ ช่วงอายุครรภ์ 28-36 สัปดาห์ และช่วงอายุครรภ์ 36 ไปจนถึงครบกำหนดคลอด ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
    • ช่วงอายุครรภ์ 4-28 สัปดาห์ แพทย์จะนัดตรวจครรภ์เดือนละครั้ง โดยแพทย์จะชั่งน้ำหนักและวัดสัญญาณชีพจร ตรวจร่างกาย เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ และทำอัลตราซาวน์เพื่อประเมินอายุครรภ์ในกรณีที่ผู้ตั้งครรภ์ไม่สามารถจำรอบเดือนครั้งล่าสุดได้ชัดเจน ทั้งนี้ ผู้ตั้งครรภ์สามารถซักถามข้อสงสัยหรือปรึกษาปัญหาต่าง ๆ กับแพทย์ได้ เมื่ออายุครรภ์ครบ 18-20 สัปดาห์ แพทย์จะอัลตราซาวน์อีกครั้งเพื่อประเมินความผิดปกติของทารก
    • ช่วงอายุครรภ์ 28-36 สัปดาห์ ผู้ตั้งครรภ์ควรมาพบแพทย์เดือนละ 2 ครั้ง แพทย์จะตรวจความดันโลหิตและสัญญาณชีพจร ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง รวมทั้งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ แก่ผู้ตั้งครรภ์ ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก คอตีบ และไอกรนให้แก่ผู้ตั้งครรภ์
    • ช่วงอายุครรภ์ 36 ไปจนถึงครบกำหนดคลอด ผู้ตั้งครรภ์มาพบแพทย์สัปดาห์ละครั้ง  หากผู้ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี หรือมีความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพครรภ์สูง อาจจำเป็นต้องมารับการตรวจจากแพทย์บ่อยกว่านั้น โดยเบื้องต้น แพทย์จะตรวจความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก ฟังการเต้นของหัวใจทารก และดูอาการดิ้น ซึ่งผู้ตั้งครรภ์ควรบันทึกความถี่เมื่อรู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้น และตอบข้อซักถามของผู้ตั้งครรภ์ ทั้งนี้ แพทย์จะตรวจภายในให้แก่ผู้ตั้งครรภ์เมื่อถึงวันกำหนดคลอด เพื่อดูว่าลักษณะของปากมดลูกเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคลอดบุตรหรือไม่ โดยปากมดลูกจะอ่อนนุ่มขึ้น และค่อย ๆ ขยายออกกว้างและบางลง ปากกมดลูกจะขยายกว้างถึง 10 เซนติเมตร และหดลงเมื่อคลอดทารกแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม ผู้ตั้งครรภ์บางรายที่มีปัญหาสุขภาพ แพทย์อาจตรวจคัดกรองโรคเบาหวานสำหรับผู้ตั้งครรภ์ที่เสี่ยงเป็นเบาหวานสูง หรือเจาะน้ำคร่ำตรวจ (Amniocentesis) โดยจะเจาะเอาตัวอย่างน้ำคร่ำภายในมดลูกออกมาเพื่อตรวจหาความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซมที่เกิดขึ้นกับทารก มักเจาะน้ำคร่ำเมื่อมีอายุครรภ์ 15-20 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสภาวะของทารกนั้นมักเจาะในกรณีที่ผู้ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี ทั้งนี้ ผู้ตั้งครรภ์อาจเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดหรือแท้งได้ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก ทั้งนี้ ผู้ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงควรได้รับการตรวจและดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์ครอบครัวมารดาและทารกในครรรภ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้ที่ถือว่าอยู่ในภาวะความเสี่ยงสูงประกอบด้วย

  • ผู้ที่อายุน้อยเกินไปหรืออายุมากกว่า 35 ปี
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือน้อยเกินไป
  • ผู้ที่ปัญหาการตั้งครรภ์มาก่อน
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตสูง ภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง มะเร็ง หรือติดเชื้อเอชไอวี
  • ผู้ตั้งครรภ์ทารกแฝด

การตรวจทารกในครรภ์ แพทย์จะตรวจวิวัฒนาการของทารกในครรภ์ ดังนี้

  • อัลตราซาวด์ทารก การทำอัลตราซาวด์จะช่วยให้แพทย์วิเคราะห์ภาพรวมของร่างกายทารกได้ รวมทั้งยังช่วยระบุเพศของทารก โดยแพทย์จะใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงประมวลภาพทารกในครรภ์ออกมา
  • วัดการเจริญเติบโตของทารก แพทย์จะวัดการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ โดยคลำประเมินจากขนาดหน้าท้อง
  • ฟังการเต้นของหัวใจทารก เมื่อเข้ารับการตรวจครรภ์ในไตรมาสที่ 2 แพทย์จะให้ผู้ตั้งครรภ์ฟังเสียงหัวใจเต้นของทารกในครรภ์ โดยใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจเต้นของทารกในครรภ์ (Doppler) เครื่องฟังเสียงหัวใจเต้นนี้จะจับจังหวะการเต้นของหัวใจทารกและประมวลผลออกมาเป็นเสียง หรือใช้หูฟังตรวจ (Strethtoscope) ซึ่งแพทย์จะฟังเสียงหัวใจทารกเต้นเอง โดยทั่วไปแล้ว จะได้ยินเสียงหัวใจทารกเต้นเมื่ออายุครรภ์ครบ 10-12 สัปดาห์
  • ประเมินการเคลื่อนไหว เมื่ออายุครรภ์ครบ 20 สัปดาห์ ทารกในครรภ์มักดิ้นหรือถีบท้อง และผู้ตั้งครรภ์บางรายที่เคยตั้งครรภ์มาก่อนก็อาจพบว่าลูกดิ้นก่อนอายุครรภ์ครบ 20 สัปดาห์ หากทารกในครรภ์เกิดอาการดังกล่าว ผู้ตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • ตรวจท่าทางของทารกในครรภ์ เมื่อใกล้ครบกำหนดคลอด แพทย์จะวัดน้ำหนักและตรวจท่าของทารกว่าเหันศีรษะไปทางช่องคลอดหรือไม่ หากศีรษะของเด็กไม่หันไปทางช่องคลอด แพทย์จะอธิบายความเสี่ยงและแนะนำการผ่าตัด ร่วมกับอัลตราซาวด์เพื่อตรวจระดับน้ำคร่ำด้วย

สมุดฝากครรภ์

ผู้ตั้งครรภ์ทุกรายจะได้รับสมุดฝากครรภ์ประจำตัว โดยแพทย์ผู้ดูแลครรภ์จะบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการตรวจแต่ละครั้งไว้ ผู้ตั้งครรภ์ควรเก็บสมุดฝากครรภ์ให้ดีและพกติดตัวเมื่อต้องไปพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง และควรถามแพทย์หากพบข้อสงสัยใด ๆ หากต้องออกเดินทางไปข้างนอก ผู้ตั้งครรภ์ควรนำสมุดฝากครรภ์ติดตัวไปด้วยเช่นกัน เผื่อไว้เป็นข้อมูลเมื่อผู้ตั้งครรภ์ต้องการความช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน นอกจากนี้ เมื่อต้องไปตรวจครรภ์ทุกครั้ง ผู้ตั้งครรภ์อาจเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์ตามนัด ดังนี้

  • เขียนคำถามหรือข้อสงสัยและถามแพทย์ให้เข้าใจอย่างละเอียด
  • ควรพาคู่สมรสไปตามนัดพบแพทย์ด้วยในกรณีที่คู่สมรสไปด้วยได้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัวมากขึ้น
  • ผู้ตั้งครรภ์อาจรับประทานของว่างรองท้องระหว่างรอพบแพทย์เพื่อไม่ให้รู้สึกหิวจนเกินไป

วิธีดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์

นอกจากฝากครรภ์และเข้ารับการตรวจตามนัดหมายแต่ละครั้งให้ครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอแล้ว ผู้ตั้งครรภ์ควรดูแลตัวเองให้มีสุขภาพครรภ์ที่ดี โดยปฏิบัติดังนี้

สิ่งที่ควรปฏิบัติระหว่างตั้งครรภ์

  • ควรฝากครรภ์ทันทีเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดใช้ยาหรือก่อนเริ่มใช้ยาตัวใหม่ทุกครั้ง
  • รับประทานวิตามินที่มีกรดโฟลิควันละ 0.4-0.8 มิลลิกรัม
  • เมื่ออายุครรภ์มากกว่า 28 สัปดาห์ ผู้ตั้งครรภ์ควรสังเกตการเคลื่อนไหวของทารกทุกวัน เพื่อตรวจดูความปกติของทารก โดยสังเกตว่าทารกดิ้นถึงสิ 10 ครั้งภายใน 2 ชั่วโมงหรือไม่ หากทารกเคลื่อนไหวน้อยกว่า 10 ครั้งหรือเคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์ และในกรณีที่ทารกดิ้นตลอดเวลา ผู้ตั้งครรภ์ควรรีบพบแพทย์ทันที ทั้งนี้ ควรสังเกตทารกดิ้นในช่วงกลางคืนซึ่งเป็นช่วงที่ทารกมีแนวโน้มว่าจะเคลื่อนไหวมากกว่าช่วงอื่นของวัน
  • รับประทานอาหารหลากหลาย เลือกที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติระหว่างตั้งครรภ์

  • สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และใช้สารเสพติดทุกชนิด
  • อยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่
  • รับประทานเนื้อปลาที่ผสมสารปรอท
  • อาบน้ำร้อนและทำซาวน่า
  • ใช้สารเคมีทุกอย่าง