ไหมขัดฟัน คืออุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันและเหงือกที่มีลักษณะคล้ายเส้นไหมเล็ก ๆ ซึ่งใช้หลังหรือก่อนแปรงฟันเพื่อนำเอาคราบสิ่งสกปรกที่ยังหลงเหลืออยู่ออก และช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับช่องปากต่าง ๆ เช่น ฟันผุ ฟันหลุด หรือโรคเหงือกได้
การมีสุขอนามัยในช่องปากที่ดี นอกจากการแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งแล้ว การใช้ไหมขัดฟันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดช่องปากได้ เพราะการแปรงฟันเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เศษอาหาร คราบแบคทีเรีย (Plaque) บนผิวฟันยังคงหลงเหลือและติดอยู่ตามซอกฟัน และตามมาด้วยปัญหาสุขภาพภายในช่องปากได้
ทำความรู้จักไหมขัดฟัน
ไหมขัดฟันเป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดชนิดหนึ่งในการทำความสะอาดเศษอาหารหรือคราบแบคทีเรียที่ติดอยู่ตามซอกฟัน ก่อนจะกลายเป็นคราบหินปูน ซึ่งเป็นคราบแข็งที่ก่อตัวขึ้นบนผิวฟันและจำเป็นต้องไปพบทันตแพทย์เพื่อกำจัดคราบหินปูน การใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอทุกวันและถูกวิธีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุหรือโรคทางทันตกรรมอื่น ๆ ได้
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไหมขัดฟันเริ่มเป็นที่นิยมหลังการเปลี่ยนแปลงวัสดุเป็นไนลอน จากเดิมที่ผลิตจากเส้นใยไหมบิดรวมกันเป็นเส้นยาวและไม่ผ่านการเคลือบขี้ผึ้ง ปัจจุบันไหมขัดฟันนิยมผลิตด้วยวัสดุ 2 ชนิด คือ เส้นใยไนลอน (Nylon Filament) และพลาสติกเส้นใยเดี่ยว (Plastic Monofilament) ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น เคลือบขี้ผึ้ง แต่งกลิ่น และสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น
การเลือกใช้ไหมขัดฟัน
ไหมขัดฟันในปัจจุบันที่วางขายตามท้องตลาดมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ไหมขัดฟันชนิดเคลือบขี้ผึ้ง ไหมขัดฟันชนิดไม่เคลือบขี้ผึ้ง ไหมขัดฟันชนิดแต่งกลิ่น ไหมขัดฟันชนิดเทป โดยแต่ละรูปแบบจะมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
- ไหมขัดฟันชนิดเคลือบขี้ผึ้งและชนิดไม่เคลือบขี้ผึ้งนั้นมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดช่องปากไม่แตกต่างกัน แต่ไหมขัดฟันชนิดเคลือบขี้ผึ้งอาจมีความลื่นหรือง่ายต่อการขัดหรือถูตามซอกฟันมากกว่า
- ไหมขัดฟันชนิดแต่งกลิ่น เช่น กลิ่นมินต์ อาจให้ความรู้สึกที่สดชื่นภายในช่องปาก
- ไหมขัดฟันชนิดเทป จะมีความกว้างกว่าไหมขัดฟันชนิดอื่น ๆ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันมาก
การเลือกใช้ไหมขัดฟันควรเลือกชนิดที่มีเส้นไหมขนาดเล็ก แบน และแผ่ออกได้เมื่อผ่านซอกฟัน สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้ อาจเลือกใช้ไหมขัดฟันชนิดเคลือบขี้ผึ้งเพื่อความสะดวกในการใช้งาน หากใช้จนชำนาญแล้วอาจเลือกใช้ไหมขัดฟันชนิดไม่เคลือบขี้ผึ้ง เพราะมีความคมมากกว่า สามารถขจัดคราบหินปูนเกิดใหม่ได้ดีกว่า หรือปรึกษาทันตแพทย์ในการเลือกใช้ไหมขัดฟันให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
วิธีการใช้ไหมขัดฟันอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดช่องปากให้มีสุขอนามัยที่ดีและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกและฟัน โดยสามารถปฏิบัติได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
- ดึงไหมขัดฟันความยาวประมาณ 30—45 เซนติเมตร แล้วพันที่บริเวณปลายนิ้วกลางทั้ง 2 ข้าง โดยเหลือความยาวของไหมขัดฟันที่พันระหว่างนิ้วประมาณ 3—4 เซนติเมตร
- สอดไหมขัดฟันเข้าที่ซอกฟันและเหงือก โดยใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ในการควบคุม จากนั้นทำการขัดหรือถูในทิศทางขึ้นลง หรือโค้งเป็นรูปตัว C ควรทำด้วยความระมัดระวังเพราะอาจทำให้เลือดออกได้หากใช้ไหมขัดฟันลึกลงไปในเหงือกมากเกินไป
- ควรใช้ไหมขัดฟันให้ครบทุกซี่ อาจเริ่มจากฟันบนซี่ในสุด โดยเรียงจากซ้ายไปขวาจนครบทุกซี่ เพื่อง่ายต่อการจดจำ จากนั้นทำต่อที่ฟันล่าง รวมถึงซอกด้านหลังของฟันซี่สุดท้าย เมื่อขัดฟันครบทุกซี่แล้วควรบ้วนปากเพื่อขจัดคราบแบคทีเรียบนผิวฟันและเศษอาหารที่ยังคงหลงเหลืออยู่
- ควรทิ้งไหมขัดฟันหลังการใช้งาน ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำ เพราะประสิทธิภาพของไหมขัดฟันจะลดลง และอาจมีเชื้อแบคทีเรียตกค้างจากการใช้งานครั้งที่ผ่านมา
- ช่วงเวลาในการใช้ไหมขัดฟันนั้นทันตแพทย์สมาคมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (ADA) แนะนำว่าใช้ไหมขัดฟันได้ทั้งก่อนหรือหลังแปรงฟัน โดยให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทันตแพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้แปรงฟันก่อนใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนนอน
- สำหรับเด็กที่มีฟันขึ้น 2 ซี่ติดกันแล้ว สามารถใช้ไหมขัดฟันได้ภายใต้คำแนะนำของผู้ปกครอง จนกระทั่งสามารถใช้ไหมขัดฟันได้อย่างคล่องแคล่วหรือมีอายุตั้งแต่ 10–11 ปีขึ้นไป
- ในช่วงแรกของการใช้ไหมขัดฟันอาจไม่สะดวกหรือทำให้รู้สึกเจ็บ แต่อาการเจ็บจะลดลงหลังการใช้ไหมขัดฟันประมาณ 1—2 สัปดาห์ ถ้าอาการเจ็บไม่ดีขึ้น ควรไปปรึกษาทันตแพทย์
- หากใช้ไหมขัดฟันรุนแรงเกินไปจะทำให้รู้สึกเจ็บและส่งผลเสียต่อเนื้อเยื่อบริเวณรอบฟัน และหากขัดฟันเบาเกินไปอาจทำให้เศษอาหารยังคงติดอยู่ตามซอกฟันได้
ข้อดีของการใช้ไหมขัดฟัน
การใช้ไหมขัดฝันมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ทำให้ลมหายใจไม่มีกลิ่นเหม็น เนื่องจากการใช้ไหมขัดฟันจะขจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกเหงือกและฟัน ในที่ที่แปรงสีฟันไม่สามารถเข้าถึง
ทั้งยังช่วยขจัดคราบแบคทีเรียก่อตัวขึ้นบนผิวฟันและเหงือก ซึ่งทำให้เกิดฟันผุ โรคเหงือก รวมถึงโรคปริทันต์ที่ทำให้เกิดอาการเหงือกอักเสบเรื้อรัง เหงือกบวม ระคายเคือง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้และไม่ได้รับการรักษาจะสามารถทำให้เหงือกร่นและสูญเสียฟันได้ในที่สุด
นอกจากนี้ การใช้ไหมขัดฟันสามารถป้องกันการเกิดโรคเหงือก โดยเฉพาะผู้ที่แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ จะลดโอกาสของการเลือดออกที่เหงือกและการอักเสบของเหงือกได้มากกว่าผู้ที่ไม่ใช้ไหมขัดฟัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีซอกฟันชิดกันมากเกินไปอาจทำให้เกิดความยากลำบากในการใช้ไหมขัดฟันได้
ทั้งนี้ ในช่วงแรกของการใช้ไหมขัดฟันอาจทำให้รู้สึกเจ็บและมีเลือดไหลได้ หรือในกรณีที่ใช้ไหมขัดฟันลึกลงไปในเหงือกมากเกินไปก็อาจทำให้เลือดออกได้เช่นกัน แต่สุขภาพเหงือกที่ดีจะทำให้เลือดหยุดไหลได้เร็วขึ้น หากยังคงมีเลือดไหลอยู่หลังจากใช้ไหมขัดฟันแล้ว 2–3 วัน ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสอบและศึกษาวิธีการใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้อง