ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis)

ความหมาย ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis)

ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) คือภาวะสมองอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อโรค การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ผิดปกติไปโดยการไปทำลายเซลล์สมอง หรือการถูกแมลงบางชนิดกัดต่อย โดยโรคนี้จัดเป็นโรครุนแรงที่อาจส่งผลให้ผู้ที่ป่วยมีอาการที่รุนแรงขึ้นหรือเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที

ไข้สมองอักเสบเป็นโรคที่สามารถเกิดได้ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้สูงอายุ โดยโรคนี้อาจมีโอกาสเกิดมากขึ้นได้ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากยุงเป็นหนึ่งในพาหะของโรคนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงอื่นของปี ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูหนาวก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นกัน

ไข้สมองอักเสบ

อาการไข้สมองอักเสบ

อาการไข้สมองอักเสบมีหลายระดับ ตั้งแต่อาการทั่วไป ไปจนถึงอาการขั้นรุนแรง โดยในช่วงแรก อาการมักจะเริ่มจากอาการทั่วไปก่อน ได้แก่ อ่อนแรง มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามข้อต่อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือมีผื่นหรือตุ่มน้ำพองใสขึ้นที่ผิวหนัง

จากนั้น อาการจะเริ่มมีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน ซึ่งผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้

  • มีปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น เรื่องบุคคล เวลา และสถานที่
  • เคลื่อนไหวช้าลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือร่างกายบางส่วนเริ่มไร้ความรู้สึก
  • มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น ร้อนรน กระวนกระวาย เห็นภาพหลอน
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ร่วมกับมีไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
  • มีปัญหาด้านการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพซ้อน หรือการขยับลูกตา ดวงตาไวต่อแสง
  • มีปัญหาด้านการได้ยินและการพูด พูดลำบาก
  • อ่อนเพลีย ง่วงนอน เซื่องซึม คอเคล็ด 
  • ชัก หมดสติ ไม่รู้สึกตัว เรียกไม่ตื่น

นอกจากนี้ เนื่องจากไข้สมองอักเสบสามารถเกิดได้ในทารกหรือเด็กเล็ก ซึ่งเป็นวัยที่อาจยังสื่อสารกันได้ยาก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองของเด็กเล็กควรสังเกตอาการของบุตรหลาน และนำเด็กไปพบแพทย์ทันที หากพบอาการดังต่อไปนี้

  • กระหม่อมทารกโป่งตึง
  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • ร่างกายแข็งเกร็ง หรือขยับตัวไม่ได้
  • อารมณ์ฉุนเฉียว งอแง ร้องไห้ไม่หยุด
  • ไม่ยอมรับประทานอาหาร ซึม ไม่ตื่นตัว

สาเหตุของไข้สมองอักเสบ

ผู้ป่วยไข้สมองอักเสบหลาย ๆ คนมักหาสาเหตุของการเกิดโรคไม่พบ แต่ในกรณีที่พบสาเหตุ เชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุมักอยู่ในกลุ่มดังต่อไปนี้

  • ไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus) แบ่งได้ 2 ประเภท คือไวรัสเริม HSV–1 เป็นตัวการทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อนี้มีไข้ เป็นแผล หรือตุ่มใสบริเวณปาก และไวรัสเริม HSV–2 เป็นตัวการทำให้เกิดแผลเริมบริเวณอวัยวะเพศ ไข้สมองอักเสบที่เกิดจากไวรัสเริม HSV–1 พบได้น้อยแต่ทำให้สมองเสียหายและเสียชีวิตได้
  • ไวรัสเริมชนิดอื่น ๆ เช่น ไวรัสเอ็ปสไตบาร์ (Epstein–Barr Virus) เป็นสาเหตุของโรคโมโนนิวคลิโอสิส (Infectious Momonucleosis) และไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ หรือไวรัสวีซีววี (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด 
  • เอนเทอร์โรไวรัส (Enteroviruses) รวมถึงโปลิโอไวรัส (Poliovirus) และค็อกแซกกีไวรัส (Coxsackievirus) เป็นสาเหตุของอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ตาแดงอักเสบ และปวดท้อง
  • เชื้อไวรัสที่มียุงเป็นพาหะ (Mosquito–Borne Viruses) เช่น ไข้เลือดออก  
  • เชื้อไวรัสเจอี (Japanese Encephalitis Virus)
  • ไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Virus) โดนสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้ากัด
  • การติดเชื้อที่พบมากในวัยเด็ก เช่น โรคคางทูมจากไวรัสมัมส์ (Mumps) โรคหัดจากไวรัสมีเซิลส์ (Measles) หรือโรคหัดเยอรมันจากไวรัสรูเบลลา (Rubella) ในปัจจุบันมีการฉีดวัคซีน MMR เพื่อป้องกันการเกิดโรคคางทูม หัด และหัดเยอรมันในเด็กอายุ 9–12 เดือน และ 4–6 ปี ทำให้พบผู้ป่วยไข้สมองอักเสบจากการติดเชื้อเหล่านี้น้อยลง

การวินิจฉัยไข้สมองอักเสบ

ในการวินิจฉัยไข้สมองอักเสบ ขั้นแรกแพทย์จะดูประวัติของผู้ป่วยว่ามีอาการของไข้สมองอักเสบหรือไม่ อยู่ในภาวะเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหรือไม่ ประวัติการรักษาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และตรวจร่างกายทางระบบประสาทและสมองอย่างละเอียด แล้วจึงทดสอบร่างกาย ดังนี้

  • การตรวจสมอง ทำได้ 2 วิธี คือ การทำซีทีสแกน (CT Scan) และการทำเอ็มอาร์ไอ (MRI Scan) โดยวิธีเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์เห็นลักษณะทางกายภาพและโครงสร้างสมองของผู้ป่วยว่ามีสิ่งผิดปกติใด ๆ หรือไม่ เช่น เส้นเลือดในสมองแตก เนื้องอกในสมอง หรืออาการบวมในสมอง
  • การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) โดยแพทย์จะให้ยาชาเฉพาะที่บริเวณหลังส่วนล่าง แล้วสอดเข็มเข้าไปเก็บตัวอย่างน้ำไขสันหลังที่กระดูกสันหลังส่วนล่าง เพื่อนำไปตรวจหาว่ามีลักษณะการติดเชื้อหรือการอักเสบหรือไม่
  • การตรวจในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจของเหลวต่าง ๆ ในร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram) และการนำตัวอย่างเนื้อเยื่อสมองไปส่งตรวจ

การรักษาไข้สมองอักเสบ

ในการรักษาไข้สมองอักเสบ แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาตามสาเหตุ และรักษาตามอาการเพื่อบรรเทาและฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงขึ้น โดยตัวอย่างวิธีการรักษที่แพทย์มักใช้ เช่น

  • การใช้ยาต้านไวรัส ใช้ในกรณีที่มีสาเหตุจากไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus) หรือไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด โดยตัวอย่างยาก็เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาแกนซิโคลเวียร์ (Ganciclovir) และยาฟอสคาเนต (Foscarnet)
  • การฉีดสเตียรอยด์ ใช้ในกรณีที่มีสาเหตุเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • การบำบัดด้วยอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin Therapy) เป็นการรักษาโดยให้ยาที่ช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • การฟอกเลือด (Plasmapheresis) เพื่อกำจัดพิษออกจากร่างกาย หรือเชื้อที่แฝงอยู่ในเลือดซึ่งจะไปทำลายสมอง วิธีนี้ใช้ในกรณีที่รักษาด้วยการบำบัดด้วยอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin therapy) แล้วอาการไม่ดีขึ้น
  • การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อรา ซึ่งจะใช้ในกรณีที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือป้องกันเชื้อรา

ในบางกรณีไข้สมองอักเสบอาจส่งผลให้ร่างกายของผู้ป่วยมีความเครียด ซึ่งอาจนำไปสู่อาการต่าง ๆ ตามมาได้ แพทย์จึงอาจจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาอื่นเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยแต่ละราย โดยตัวอย่างการรักษาที่แพทย์มักใช้ เช่น

  • การใช้เครื่องช่วยหายใจ  เพื่อช่วยการทำงานของปอด
  • การให้สารน้ำ (Intravenous Fluids) เพื่อรักษาปริมาณน้ำและระดับแร่ธาตุในร่างกายให้เหมาะสม
  • การใช้ยาแก้อักเสบ เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อช่วยลดความดันและอาการบวมในกระโหลกศีรษะ
  • การใช้ยากันชัก เช่น ยาเฟนิโทอิน (Phenytoin) เพื่อป้องกันหรือระงับอาการชัก

ทั้งนี้ ผู้ป่วยไข้สมองอักเสบยังอาจจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญร่วมไปกับการรักษาด้วย เนื่องจากการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยอาจทำได้ช้า ยาก และใช้เวลานานกว่าจะหายกลับมาเป็นปกติ โดยการรักษาที่ผู้ป่วยอาจได้รับ ได้แก่

  • การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่สมอง โดยนักประสาทจิตวิทยา (Neuropsychologist)
  • การบำบัดเกี่ยวกับการพูด เพื่อช่วยฟื้นฟูการควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูดและการสื่อสาร
  • การทำกิจกรรมบำบัด เพื่อพัฒนาทักษะและนำใช้ในชีวิตประจำวัน
  • การทำกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ความสมดุล รวมไปถึงพัฒนาการเคลื่อนไหวของร่างกาย
  • การทำจิตบำบัด เพื่อเรียนรู้วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหา สร้างพฤติกรรมใหม่ที่จะช่วยพัฒนาอารมณ์ หรือในบางกรณี อาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการใช้ยา

ภาวะแทรกซ้อนของไข้สมองอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อนของไข้สมองอักเสบที่อาจพบได้ ได้แก่

  • ปัญหาด้านความจำ
  • ปัญหาด้านบุคลิกภาพ หรือพฤติกรรมเปลี่ยน
  • ปัญหาด้านการพูดและการใช้ภาษา
  • ปัญหาด้านการกลืน
  • ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ เช่น เครียด วิตก ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน
  • ปัญหาด้านสมาธิ ความสนใจ การวางแผน การแก้ปัญหา
  • ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว การทรงตัว การเกร็งของกล้ามเนื้อ ความพิการ การเป็นอัมพาต 
  • อาการชัก

การป้องกันไข้สมองอักเสบ

การป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดไข้สมองอักเสบสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • สร้างสุขอนามัยที่ดีด้วยการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่า โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำและก่อนมื้ออาหาร  
  • ไม่ใช้ช้อน ส้อม หรือแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น
  • ฉีดวัคซีนเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ที่อัตราเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
  • รับวัคซีนโรคไข้สมองอักเสบญี่ปุ่น ก่อนการเดินทางไปยังประเทศในแถบเอเชีย
  • รับวัคซีนโรคไข้สมองอักเสบจากเห็บ ก่อนเดินทางไปยังประเทศในแถบเอเชียและยุโรป
  • รับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า ก่อนเดินทางไปยังประเทศที่มีข้อจำกัดด้านการแพทย์และการรักษา
  • ไม่ควรมีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในที่พักอาศัย เช่น การมีน้ำขัง
  • สำหรับเด็กเล็ก ควรให้เด็กได้รับวัคซีนตามที่แพทย์แนะนำ