CT Scan ขั้นตอนและสิ่งที่ควรรู้ก่อนรับการตรวจ

CT Scan (ซีที สแกน หรือ Computerized Tomography Scan) คือ การตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งแพทย์จะฉายรังสีเอกซเรย์ตามร่างกายบริเวณที่ต้องการตรวจ แล้วใช้คอมพิวเตอร์สร้างเป็นภาพฉายลักษณะและอวัยวะภายในร่างกาย เพื่อประกอบการวินิจฉัยหาความผิดปกติของร่างกายต่อไป 

การตรวจด้วยเครื่อง CT Scan จะทำให้ได้ภาพที่มีความละเอียดสูงกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา และสามารถใช้ตรวจอวัยวะภายในร่างกายได้เกือบทุกส่วน ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจถึงความจำเป็น ขั้นตอน ข้อจำกัด และความเสี่ยงที่จากการตรวจ CT Scan ก่อนการตรวจ 

CT Scan ขั้นตอนและสิ่งที่ควรรู้ก่อนรับการตรวจ

ประเภทของ CT scan

CT Scan ที่ใช้ในปัจจุบันมี 2 ประเภท ดังนี้

  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบภาพตัดขวางพื้นฐาน (Conventional CT Scan) เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะหมุนเป็นวงรอบตัวผู้ป่วย เพื่อให้รังสีเอกซเรย์ผ่านตัวผู้ป่วย 1 รอบ จะได้ภาพ 1 ภาพ โดยเตียงจะเลื่อนไปทีละตำแหน่ง ภาพที่ได้จะถูกนำมาสร้างเป็นภาพตัดขวางของอวัยวะได้ทีละภาพ
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบเกลียว (Spiral / Helical CT Scan) เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะหมุนเป็นวงอย่างต่อเนื่องรอบตัวผู้ป่วย เมื่อรังสีเอกซเรย์ผ่านตัวผู้ป่วยจะได้ภาพหลายภาพ ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าแบบพื้นฐาน และได้ภาพที่มีความแม่นยำสูงกว่า

จุดประสงค์ในการทำ CT Scan

โดยปกติแล้ว CT Scan จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่แพทย์วินิจฉัยและสั่งให้ตรวจร่างกายโดยละเอียดเท่านั้น จะไม่ใช้ CT Scan ในการตรวจการคัดกรองโรคเบื้องต้น เพราะ CT Scan จะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจากการได้รับรังสีเอกซเรย์ และเพิ่มความวิตกกังวลเกินจำเป็น ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำ CT Scan ในกรณีดังต่อไปนี้

  • ตรวจวินิจฉัยอาการป่วย เช่น ตรวจหาการบาดเจ็บเสียหายของอวัยวะภายใน ภาวะเลือดออกของอวัยวะภายใน การไหลเวียนของเลือด การเกิดลิ่มเลือด รอยแตกร้าวของกระดูก ภาวะสมองขาดเลือด เนื้องอก และเนื้อร้าย
  • ติดตามการรักษาอาการป่วย ทั้งในระหว่างการรักษาและหลังการรักษา เช่น ตรวจดูขนาดของก้อนเนื้องอก ตรวจผลหลังการรักษามะเร็ง
  • ตรวจเป็นแนวทางประกอบการรักษา เช่น ตรวจหาขนาดและรูปร่างของก้อนเนื้อก่อนทำรังสีบำบัด ใช้ CT Scan เพื่อฉายภาพในขณะที่แพทย์ใช้เข็มเจาะถ่ายของเหลวในฝีออก หรือใช้เข็มนำตัวอย่างชิ้นเนื้อออกมาตรวจ

การตรวจด้วย CT Scan มีข้อดีคือสามารถสแกนตรวจอวัยวะในร่างกายส่วนใหญ่ได้ ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดในขณะตรวจสแกน ภาพที่ได้มีรายละเอียดสูงกว่าการทำอัลตราซาวนด์ ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น และสามารถสแกนได้รวดเร็วกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการสแกนแบบ MRI

ข้อจำกัดในการทำ CT Scan

การทำ CT Scan อาจมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น

ผลตรวจคลาดเคลื่อน

ผลตรวจ CT Scan อาจคลาดเคลื่อนไปจากความจริงจากหลายปัจจัย เช่น 

  • มีวัตถุแปลกปลอมที่รบกวนการแปลผลเอกซเรย์ เช่น เครื่องประดับที่ผู้ป่วยสวมใส่
  • กระดูกส่วนกะโหลกศีรษะบังขณะสแกนสมอง
  • บริเวณกระดูกสันหลัง หรือในตำแหน่งอื่น ๆ ที่มีกระดูกอยู่จำนวนมาก อาจบดบังอวัยวะส่วนที่ต้องการตรวจวินิจฉัย

อันตรายจากรังสี

CT Scan ใช้รังสีปริมาณมาก ทำให้ผู้ที่เข้ารับการตรวจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจากการได้รับรังสีมากเกินไป โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ และเด็ก ดังนี้

  • หญิงตั้งครรภ์ หากไม่ใช่ในกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน แพทย์จะให้ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ใช้วิธีการอื่นในการตรวจวินิจฉัย เพื่อเลี่ยงไม่ให้รังสีเอกซเรย์ส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
  • เด็ก ผู้ปกครองควรปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ถึงการเตรียมตัวก่อนให้เด็กเข้าเครื่อง CT Scan หากเด็กยังเล็กมากหรือรู้สึกตื่นกลัวมาก แพทย์จะให้ยาระงับประสาทเพื่อบรรเทาอาการก่อนทำ CT Scan

นอกจากนี้ ในระหว่างการตรวจจะต้องมีการกลั้นหายใจ การทำ CT Scan จึงไม่เหมาะกับผู้มีปัญหาระบบทางเดินหายใจที่ไม่สามารถกลั้นหายใจได้ในระหว่างการตรวจ

การเตรียมตัวก่อนทำ CT Scan

ผู้ป่วยควรซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ CT Scan เช่น สาเหตุ ความจำเป็น ความเสี่ยง และประโยชน์ที่ได้จากการตรวจด้วย CT Scan และควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ การแพ้ยา และภาวะทางสุขภาพ เช่น

  • กำลังตั้งครรภ์ หรือคาดว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่
  • เป็นหอบหืด
  • เป็นโรคเบาหวาน และกำลังใช้ยาเมทฟอร์มิน (Metformin) ซึ่งอาจต้องปรับเปลี่ยนการใช้ยา 1 วัน ก่อนทำ CT Scan
  • มีปัญหาเกี่ยวกับไต
  • ป่วยด้วยโรคหัวใจ หรือมีภาวะหัวใจล้มเหลว
  • เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัลติเพิล มัยอีโลมา (Multiple Myeloma)
  • มีความวิตกกังวลเป็นอย่างมากก่อนทำ CT Scan
  • เคยสวนแป้งแบเรียม (Barium Enema) เข้าทางทวารหนักแล้วทำการเอกซเรย์มาก่อนหน้าไม่เกิน 4 วัน เนื่องจากแบเรียมจะปรากฏบนฟิล์มเอกซเรย์ ทำให้เห็นภาพฉายได้ไม่ชัดเจน
  • เคยมีประวัติการแพ้สารทึบรังสี (Contrast Material) ที่ใช้ในการทำ CT Scan

ก่อนทำ CT Scan ผู้ป่วยควรสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ ที่ไม่มีส่วนประกอบของโลหะ เช่น ซิป เข็มขัด ถอดแว่นตา ฟันปลอม และไม่สวมใส่เครื่องประดับใด ๆ โดยในบางกรณี ผู้ป่วยอาจต้องเปลี่ยนใส่ชุดที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ เพื่อให้สะดวกต่อการฉายรังสี

สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเอกซเรย์ช่องท้อง แพทย์อาจแนะนำให้งดอาหารเป็นเวลาหลายชั่วโมงก่อนทำ CT Scan เพื่อไม่ให้รบกวนผลการตรวจและให้ได้ภาพฉายที่ชัดเจน หรือแพทย์อาจให้รับประทานยาระบายก่อนการทำ CT Scan 

นอกจากนี้ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยบางรายดื่มสารทึบรังสี หรืออาจใช้วิธีฉีดสารเข้าสู่เส้นเลือด หรือสอดสารทึบรังสีเข้าสู่ลำไส้ผ่านทางทวารหนัก เพื่อช่วยให้ภาพฉายในบริเวณต่าง ๆ ที่ต้องการตรวจเห็นได้ชัดเจนขึ้น  

หากผู้ป่วยมีความวิตกกังวลอย่างมาก แพทย์อาจให้ยาระงับประสาทเพื่อคลายความกังวลก่อนการเอกซเรย์ โดยผู้ป่วยควรให้ญาติหรือบุคคลใกล้ชิดมารับกลับหลังจากเสร็จขั้นตอน เนื่องจากฤทธิ์ของยาจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถขับขี่ยานพาหนะได้ตามปกติ

การทำ CT Scan

เมื่อเริ่มทำ CT Scan ผู้ป่วยต้องนอนราบลงบนเตียงของเครื่องสแกน เตียงจะถูกเคลื่อนเข้าไปภายในเครื่อง ให้บริเวณที่ต้องการจะสแกนอยู่ตรงกับวงแหวนสแกน และเครื่องจะเริ่มทำการสแกนด้วยการหมุนเพื่อฉายรังสีเอกซเรย์ไปรอบ ๆ ตัวผู้ป่วย โดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะฉายภาพที่ได้ออกมาเรื่อย ๆ ผู้ป่วยควรผ่อนคลายความกังวล นอนราบนิ่ง ๆ และหายใจตามปกติ

ในบางกรณีผู้ป่วยอาจต้องหายใจเข้า หายใจออก หรือกลั้นหายใจตามคำสั่งแพทย์ เพื่อให้ภาพถ่ายรังสีออกมาชัดเจน โดยในระหว่างที่อยู่ในเครื่อง CT Scan ผู้ป่วยสามารถสื่อสารกับแพทย์และนักเทคนิคที่ดูแลการสแกนได้ผ่านเครื่องสื่อสารด้วยเสียง (Intercom) และการสแกนจะสิ้นสุดลงภายในเวลาประมาณ 10–20 นาที

ผลการตรวจ CT Scan

หลังทำ CT Scan เสร็จ เครื่องคอมพิวเตอร์จะประมวลภาพออกมา รังสีแพทย์จะอ่านผลที่ได้และรายงานต่อแพทย์ผู้ดูแล ซึ่งแพทย์จะสรุปผลการตรวจและพูดคุยกับผู้ป่วยต่อไป โดยขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ในการทราบผล ตัวอย่างผลการตรวจด้วยวิธี CT Scan มีดังนี้

ตรวจไม่พบผลผิดปกติ

การตรวจไม่พบความผิดปกติหมายถึงลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

  • อวัยวะต่าง ๆ และเส้นเลือดมีรูปร่าง ขนาดปกติ และอยู่ในตำแหน่งปกติ
  • เส้นเลือดไม่อุดตันหรือถูกปิดกั้น
  • ไม่พบวัตถุหรือสิ่งแปลกปลอม
  • ไม่พบเนื้อเยื่อที่มีการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ
  • ไม่พบการอักเสบหรือการติดเชื้อ
  • ไม่มีเลือดออกหรือไม่มีของเหลวตกค้างสะสมภายในอวัยวะ

ตรวจพบผลผิดปกติ   

การตรวจพบความผิดปกติอาจหมายถึงการตรวจพบลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

การดูแลตนเองหลังทำ CT Scan

หลังทำ CT Scan ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านและทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น รับประทานอาหาร ดื่มน้ำ หรือขับรถได้ตามปกติ และควรไปพบแพทย์ตามนัดหมายเพื่อฟังผลจากแพทย์ ยกเว้นผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาระงับประสาทเพื่อคลายความกังวลก่อนเข้าเครื่องสแกน ซึ่งจะทำให้รู้สึกมึนงงหรือง่วงซึมได้ จึงไม่ควรขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเอง และควรให้ญาติหรือคนสนิทมารับกลับ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ

ส่วนผู้ป่วยที่ต้องใช้สารทึบแสงช่วยให้การฉายภาพเอกซเรย์ชัดเจนขึ้น หลังทำ CT Scan แพทย์อาจให้อยู่รอดูอาการที่โรงพยาบาลประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อดูว่าผู้ป่วยมีอาการแพ้จากการใช้สารทึบรังสีหรือไม่ โดยผู้ป่วยควรดื่มน้ำในปริมาณมาก เพื่อช่วยให้ไตขับสารทึบรังสีออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ

หากผู้ป่วยมีข้อสงสัย ควรรีบถามและปรึกษาแพทย์ให้ทราบอย่างแน่ชัด และหากพบอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • มีผดผื่นคันหรือผิวบวมนูน
  • หน้าบวม ปากบวม
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • วิงเวียนศีรษะ หรือเป็นลม
  • ปัสสาวะน้อยลงอย่างกะทันหัน
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ หายใจลำบาก

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงจากการทำ CT Scan

CT Scan อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ เช่น 

การแพ้สารทึบรังสี

ผู้ป่วยที่ใช้สารทึบรังสีที่ใช้ในการตรวจ อาจมีอาการแพ้หลังจากได้รับสารเข้าสู่ร่างกาย เช่น มีผดผื่นคัน หายใจติดขัด ปวดท้อง ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ 

อันตรายต่อทารกในครรรภ์และเด็กแรกเกิด

รังสีจากการสแกนอาจกระทบต่อทารกในครรภ์และทำให้เกิดความผิดปกติซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กที่จะเกิดมา หากผู้ป่วยตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนำให้ใช้วิธีการอื่นในการตรวจวินิจฉัย

นอกจากนี้ สารทึบแสงที่อยู่ภายในร่างกายอาจส่งผ่านไปยังทารกในขณะที่ผู้ป่วยให้นมบุตร ทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจากการได้รับสารทึบรังสีเข้าสู่ร่างกาย

เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

ในปัจจุบันไม่พบว่าการทำ CT Scan จะส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายในระยะยาว เนื่องจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันที่ทำให้ผู้ป่วยทั่วไปเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งจากรังสีใน CT Scan น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในผู้ป่วยที่ทำ CT Scan จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อผู้ป่วยเป็นเด็ก เด็กโต และผู้ที่เข้ารับการตรวจด้วยการฉายรังสีเป็นประจำ