ไฟช็อต

ความหมาย ไฟช็อต

ไฟช็อต (Electronic Injury / Eletric Shock) คือ ภาวะที่ผิวหนังหรืออวัยวะภายในของร่างกายได้รับบาดเจ็บจากพลังงานไฟฟ้า โดยไฟช็อตจะเกิดขึ้นเมื่อไปสัมผัสกับแหล่งที่มีการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้าโดยตรง เนื่องจากร่างกายของมนุษย์ถือเป็นตัวนำไฟฟ้า เมื่อไปสัมผัสแหล่งพลังงานที่มีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ จึงส่งผลให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเนื้อเยื่อเข้ามาในร่างกาย และเกิดอาการช็อตได้ ผู้ที่ถูกไฟช็อตอาจได้รับบาดเจ็บรุนแรงแตกต่างกันไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งบาดแผลจากการถูกไฟช็อตจะทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อภายในร่างกายไหม้ หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้น รวมทั้งทำลายกล้ามเนื้อและสมอง  ทั้งนี้ ควรปิดการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนเข้าช่วยเหลือผู้ที่ถูกไฟช็อตทุกครั้ง

ไฟช็อต

อาการของไฟช็อต

ผู้ที่ถูกไฟช็อตจะแสดงอาการแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรง บางรายอาจปรากฏอาการไฟช็อตเพียงเล็กน้อย ส่วนบางรายอาจมีอาการรุนแรงและปรากฏออกมาชัดเจน ทั้งนี้ ระดับความรุนแรงของอาการไฟช็อตขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ ชนิดและความแรงของโวลต์ไฟฟ้า ระยะเวลาที่ถูกไฟช็อต วิถีการไหลของกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกาย และสุขภาพโดยรวมของผู้ถูกไฟช็อต โดยผู้ที่ถูกไฟช็อตจะเกิดอาการได้หลายอย่าง ดังเช่น

  • หมดสติ
  • หายใจลำบากหรือไม่หายใจ รวมทั้งการทำงานของปอดล้มเหลว
  • ชีพจรเต้นผิดจังหวะ โดยสัญญาณชีพอ่อนแรงลงหรือไม่ปรากฏสัญญาณชีพ
  • ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
  • เกิดแผลไหม้ที่ผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่กระแสไฟฟ้าไหลเข้าและออกจากร่างกาย ซึ่งได้แก่ มือ ส้นเท้า และศีรษะ
  • ปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้อกระตุก หดเกร็งอย่างรุนแรง จนปวดมือหรือเท้า หรืออาจมีลักษณะผิดรูป ซึ่งเกิดจากกระดูกหัก
  • เด็กเล็กที่กัดสายไฟจนถูกไฟช็อต อาจเกิดแผลไหม้ที่ปาก ซึ่งจะค่อย ๆ แดงเข้มขึ้น และดำเป็นตอตะโก
  • เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะภายใน ทำให้อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน การมองเห็น หรือการได้ยิน
  • เกิดอาการชา หรือเป็นเหน็บชา
  • เกิดอาการชัก ปวดศีรษะ

ผู้ที่ถูกไฟช็อตด้วยกระแสไฟฟ้ากำลังสูงถึง 500 โวลต์หรือมากกว่านั้น ควรนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโดยด่วน ส่วนผู้ที่ถูกไฟช็อตด้วยกำลังไฟฟ้าต่ำควรพบแพทย์ทันที หากประสบภาวะต่อไปนี้

  • ไม่ได้สตินานเกินไป
  • หายใจลำบาก
  • เกิดอาการชัก
  • เกิดอาการสับสนมึนงง รวมทั้งเกิดอาการชาหรือเป็นอัมพาต
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการมอง การฟัง หรือการพูด
  • เกิดบาดแผลจากไฟช็อต แต่ได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยักครั้งสุดท้าย เป็นเวลานานกว่า 5 ปี
  • แผลไหม้ที่เกิดจากการถูกไฟช็อตไม่หายดี
  • เกิดแผลไหม้ และมีรอยแดง ปวดแสบปวดร้อน หรือมีของเหลวไหลออกมาจากแผลร่วมด้วย
  • ถูกไฟช็อตขณะตั้งครรภ์

ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหลังถูกไฟช็อตควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาเช่นกัน เนื่องจากอาการหรือภาวะแทรกซ้อนจากการถูกไฟช็อตอาจไม่ปรากฏออกมาชัดเจน การเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลหลังถูกไฟช็อตจะช่วยตรวจหาความผิดปกติ และสามารถเข้ารับการรักษาให้หายเป็นปกติได้

สาเหตุไฟช็อต

วัยรุ่นและผู้ใหญ่มักได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟช็อตด้วยกำลังไฟฟ้าสูง ซึ่งจะถูกไฟช็อตขณะที่กำลังตรวจวงจรไฟฟ้าหรือทำงานอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ถูกไฟช็อต ได้แก่ ชนิดของกระแสไฟฟ้า (กระแสไฟฟ้าสลับ หรือกระแสไฟฟ้าตรง) ปริมาณโวลต์ไฟฟ้า (โวลต์ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด และปริมาณโวลต์ไฟฟ้าที่วิ่งเข้าร่างกาย) และวิถีที่กระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่ร่างกาย ไฟฟ้าที่มีกำลังต่ำหรือไม่ถึง 500 โวลต์มักจะไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรง ส่วนผู้ที่ถูกช็อตด้วยไฟฟ้ากำลังสูงหรือมากกว่า 500 โวลต์ อาจได้รับอันตรายร้ายแรง ทั้งนี้ เด็กเล็กมักไม่ได้รับบาดเจ็บจากไฟช็อตอย่างรุนแรง เนื่องจากเด็กจะถูกไฟช็อตที่มีกำลังประมาณ 110 - 220 โวลต์ สาเหตุที่ทำให้เกิดไฟช็อตเกิดจากปัจจัยต่อไปนี้

  • สัมผัสอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรงบริเวณที่กระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ ส่วนเด็กเล็กเกิดจากการกัดสายไฟหรือเอาเหล็กแหย่เต้าเสียบปลั๊กไฟ
  • อุปกรณ์ไฟฟ้าโดนน้ำหรือเปียกน้ำ
  • เครื่องไฟฟ้าทำงานผิดปกติ หรือเกิดความขัดข้องเสียหายขึ้นมา
  • ระบบไฟฟ้าเสื่อมสภาพ
  • เกิดประกายไฟหรือไฟฟ้ารั่ว
  • หากถูกฟ้าผ่า ก็อาจได้รับบาดเจ็บเหมือนถูกไฟช็อตได้

การวินิจฉัยไฟช็อต

ผู้ที่ถูกไฟช็อตควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา ทั้งนี้ บางรายอาจไม่ปรากฏอาการหรือบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟช็อตอย่างชัดเจน เนื่องจากผู้ถูกไฟช็อตอาจได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ หัวใจ สมอง กระดูก หรืออวัยวะส่วนอื่น อย่างไรก็ตาม แพทย์จะตรวจผู้ถูกไฟช็อตหลายอย่างเพื่อวินิจฉัยอาการบาดเจ็บที่เกิดจากไฟฟ้าช็อต และอาจตรวจเพิ่มเติม ซึ่งขึ้นอยู่กับประวัติการรักษาและผลการตรวจร่างกาย  การตรวจเพิ่มเติมที่ใช้ตรวจเพื่อวินิจฉัยไฟช็อต เช่น

  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์จะตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วย เพื่อตรวจดูจังหวะการเต้นของหัวใจว่าสม่ำเสมอเป็นปกติ หรือหัวใจมีการเต้นผิดจังหวะจากการถูกไฟช็อต
  • ตรวจเลือด แพทย์อาจจะนำตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยไปตรวจเพื่อหาความผิดปกติของสารในร่างกายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการถูกไฟช็อต
  • ตรวจปัสสาวะ แพทย์จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะของผู้ป่วย เพื่อตรวจเอนไซม์กล้ามเนื้อ การตรวจดังกล่าวจะช่วยวินิจฉัยอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อจากการถูกไฟช็อต
  • เอกซเรย์ แพทย์จะให้ผู้ป่วยเอกซเรย์ร่างกายที่มีลักษณะผิดรูป เพื่อตรวจหาภาวะกระดูกหักหรือกระดูกเคลื่อน ซึ่งอาจเกิดจากการถูกไฟช็อตจนเกือบเสียชีวิต
  • ทำซีทีสแกน หากสันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาจได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน แพทย์จะใช้ภาพสแกนประกอบการวินิจฉัย โดยทำซีทีสแกนให้แก่ผู้ป่วย เพื่อตรวจดูความผิดปกติของการทำงานอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย

การรักษาไฟช็อต

ผู้ที่ถูกไฟช็อตควรได้รับการรักษา โดยนำตัวส่งโรงพยาบาลและพบแพทย์ทันที อย่างไรก็ตาม หากพบผู้ถูกไฟช็อต ควรรีบเข้าช่วยเหลือและปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาล โดยวิธีช่วยเหลือและปฐมพยาบาลผู้ที่ถูกไฟช็อต ปฏิบัติได้ดังนี้

  • ดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสับคัตเอาท์ลงเพื่อตัดกระแสไฟฟ้า เนื่องจากการปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้กระแสไฟฟ้าหยุดทำงานได้และอาจเป็นอันตรายต่อผู้เข้าไปช่วยเหลือ และโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน
  • หากกระแสไฟฟ้ายังทำงานอยู่ ควรใช้ไม้กวาด เก้าอี้ ผ้าผืนใหญ่ หรือพรมเช็ดเท้า ช่วยดันตัวผู้ที่ถูกไฟช็อตให้ออกห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าว ผู้ที่เข้าช่วยเหลือควรยืนอยู่บนพื้นที่แห้ง หรือมีผ้าหรือกระดาษหนังสือพิมพ์รองเท้าขณะที่เข้าช่วยเหลือ รวมทั้งไม่ใช้อุปกรณ์ที่เป็นเหล็กหรือเปียกน้ำซึ่งเป็นตัวนำไฟฟ้าขณะเข้าช่วยเหลือผู้ที่ถูกไฟช็อต
  • ควรตรวจสัญญาณชีพ หรือดูว่าผู้ป่วยหายใจอยู่หรือไม่ หากผู้ป่วยมีสัญญาณชีพหรือหายใจอ่อนแรง หรือไม่มีสัญญาณชีพ หรือหยุดหายใจ ควรเริ่มปฐมพยาบาลผู้ป่วยทันที
  • หากผู้ถูกไฟช็อตมีรอยแผลไหม้ ควรถอดเสื้อผ้าชิ้นที่ถอดออกง่าย และรินน้ำสะอาดล้างแผลไหม้จนกว่าจะทุเลาลง
  • หากผู้ป่วยเป็นลม ตัวซีด  หรือมีอาการช็อค ควรวางตัวผู้ป่วยลง โดยให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าลำตัว ยกขาผู้ป่วยขึ้น และห่มด้วยผ้าห่ม
  • ควรอยู่ดูแลผู้ป่วยจนกว่ารถของโรงพยาบาลจะมารับตัวไปรักษา

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถูกไฟฟ้าแรงสูงช็อตนั้นถือเป็นกรณีที่ร้ายแรง ผู้ที่จะเข้าช่วยเหลือควรอยู่ให้ห่างจากผู้ถูกไฟช็อตอย่างน้อย 6 เมตร จนกว่าแหล่งพลังงานจะถูกตัดกระแสไฟฟ้า ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าช่วยเหลือควรปฏิบัติตัว ดังนี้

  • ไม่ควรสัมผัสผู้ป่วยที่กำลังถูกไฟช็อตด้วยมือเปล่า
  • ไม่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยพลการ
  • ไม่ควรประคบน้ำแข็ง ทาขี้ผึ้ง ทายา พันผ้าขนหนู หรือติดพลาสเตอร์ยาให้แก่ผู้ที่มีแผลไหม้
  • ไม่ควรลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือเจาะถุงน้ำบนผิวผู้ป่วยที่เกิดแผลไหม้

ทั้งนี้ การรักษาผู้ถูกไฟช็อตจะแตกต่างกันไปตามกรณีของผู้ป่วย ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของบาดแผล โดยวิธีรักษาอาการบาดเจ็บจากการถูกไฟช็อตลักษณะต่าง ๆ มีดังนี้

  • การรักษาแผลไหม้จากการถูกไฟช็อต
    • ผู้ที่มีแผลไหม้เพียงเล็กน้อยอาจได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะสำหรับทาเฉพาะที่และปิดแผลให้เรียบร้อย
    • ผู้ที่มีแผลไหม้รุนแรงอาจต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือนำผิวหนังจากอวัยวะส่วนอื่นมาปะผิวหนังส่วนที่เป็นแผลไหม้แทน
    • ผู้ที่เกิดแผลไหม้อย่างรุนแรงตรงแขน ขา หรือมือ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อนำกล้ามเนื้อส่วนที่เสียหายออกไป หรือตัดอวัยวะส่วนที่เกิดแผลไหม้รุนแรง
  • การรักษาบาดแผลอื่น ๆ
    • ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา จะได้รับการตรวจและรักษาบาดแผลโดยจักษุแพทย์
    • ผู้ที่กระดูกหักจำเป็นต้องได้รับการดามหรือผ่าตัดเชื่อมกระดูก
    • ผู้ถูกไฟช็อตที่ได้รับบาดเจ็บตรงอวัยวะภายในจำเป็นต้องรับการติดตามเพื่อสังเกตอาการจากแพทย์ หรือเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะดังกล่าว

ภาวะแทรกซ้อนจากไฟช็อต

ผู้ที่ถูกไฟช็อตจะเกิดแผลไหม้หรือได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สัญญาณชีพทำงานผิดปกติหรือถึงขั้นช็อคหมดสติ ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกไฟช็อตสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้

  • ประสบภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน เกิดอาการชัก สูญเสียความทรงจำ หมดสติ กลืนอาหารลำบาก รวมทั้งประสบภาวะสูญเสียประสาทสั่งการ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นทันที
  • ได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
  • สมองขาดเลือดเฉียบพลัน
  • เกิดการบาดเจ็บที่เส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่งมักเกิดขึ้นตรงเนื้อเยื่ออ่อนที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้อาการบาดเจ็บเส้นประสาทส่วนปลายอาจปรากฏออกมาหรือไม่ปรากฏออกมาก็ได้ ซึ่งแพทย์จะติดตามการรักษาในกรณีที่ไม่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
  • ไตวายเฉียบพลัน
  • เกิดก้อนลิ่มเลือดในหลอดเลือดที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เนื้อเยื่อที่ได้รับความเสียหาย
  • อวัยวะภายในอาจทะลุ เนื่องจากเยื่อบุของอวัยวะภายในได้รับความเสียหาย เช่น เยื่อหุ้มปอดทะลุ โดยอาจเกิดภาวะดังกล่าวหลังจากถูกไฟช็อตมาแล้ว 2 วัน
  • เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ ที่ถูกไฟช็อตจากการกัดสายไฟ จะเกิดแผลไหม้ที่ปาก อาจส่งผลให้ใบหน้าผิดรูปและมีปัญหาเกี่ยวกับการงอกของฟันและขากรรไกร
  • เกิดต้อกระจกได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากนั้นนานหลายวันหรือหลายปี
  • ได้รับผลกระทบหรือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต

ทั้งนี้ สตรีมีครรภ์ที่ถูกไฟช็อตเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ได้ โดยกระแสไฟฟ้ากำลังต่ำที่ช็อตสตรีมีครรภ์อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกได้อย่างรุนแรง เนื่องจากผิวหนังของทารกในครรภ์บอบบางกว่าผิวหนังคนทั่วไปถึง 200 เท่า ทั้งนี้ หากวิถีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมดลูก ทารกก็เสี่ยงได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟช็อต ส่งผลให้ทารกในครรภ์เติบโตช้า ประสบภาวะน้ำคร่ำน้อย เคลื่อนไหวน้อยลง และเกิดการแท้งได้

การป้องกันไฟช็อต

ไฟช็อตเป็นสภาวการณ์ที่หลีกเลี่ยงและป้องกันได้ วิธีป้องกันตนเองและบุคคลรอบข้างไม่ให้ถูกไฟช็อต ปฏิบัติได้ ดังนี้

  • ควรใช้เครื่องไฟฟ้า โดยปฏิบัติตามคู่มือการใช้งานตามที่แนบมากับอุปกรณ์ดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
  • เลี่ยงใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่ออาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ หรือขณะที่ตัวเปียกน้ำ
  • ไม่ควรสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้าและวาล์วก๊อกน้ำในเวลาเดียวกัน
  • หมั่นตรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าและเต้าเสียบปลั๊กไฟอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งติดตั้งเต้าเสียบให้ห่างจากอ่างล้างจาน ท่อน้ำ หรือบริเวณที่เสี่ยงโดนน้ำหรือเปียกชื้นได้ง่าย
  • เก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสายไฟ ให้พ้นมือเด็ก รวมทั้งควรระมัดระวังดูแลไม่ให้เด็กเล่นอุปกรณ์ดังกล่าว
  • ใช้ที่ครอบปิดเต้าเสียบปลั๊กไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้ทารกเอานิ้วไปแหย่
  • ควรเตือนและสอนเด็กให้เห็นถึงอันตรายจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ถูกต้อง และดูแลไม่ให้เด็กเล่นซนบริเวณที่เสี่ยงเกิดไฟช็อตได้