Acetylcysteine (อะเซทิลซิสเทอีน)

Acetylcysteine (อะเซทิลซิสเทอีน)

Acetylcysteine (อะเซทิลซิสเทอีน) คือ ยาขับเสมหะ หรือยาละลายเสมหะ ใช้รักษาอาการป่วยจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายที่ตับ และรักษาภาวะอาการที่เกิดมูกเหลวเหนียวข้นขึ้นจนเกิดปัญหาการหายใจ จากภาวะหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง ปอดบวม ปอดอักเสบ เป็นต้น โดยยาจะช่วยสลายมูกเหนียวข้นให้เจือจางลง เพื่อให้ระบบทางเดินหายใจขับมูกเสมหะเหล่านั้นออกมาได้ และช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกขึ้นในที่สุด

Acetylcysteine

กลุ่มยา ยาละลายเสมหะ
ประเภทยา ยาตามคำสั่งแพทย์
สรรพคุณ ละลายเสมหะ สลายมูกเหนียวข้นให้เบาบางลง
กลุ่มผู้ป่วย เด็กและผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยาฉีดเข้าเส้นเลือด ยารับประทาน

เกี่ยวกับ Acetylcysteine

  • หากเคยมีอาการแพ้ยาชนิดนี้ หรือแพ้สารประกอบใด ๆ ที่เป็นส่วนผสมในยาชนิดนี้ ห้ามใช้ยา Acetylcysteine เด็ดขาด และควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • หากผู้ป่วยเคยมีอาการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้สารชนิดใดอยู่ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา เพราะส่วนประกอบของยาอาจมีสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดอาการแพ้ได้
  • ก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งประวัติทางการแพทย์ที่สำคัญ โดยเฉพาะอาการป่วยด้วยหอบหืด หรือมีแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
  • ในผู้ป่วยตั้งครรภ์ แพทย์ต้องพิจารณาถึงประโยชน์และผลข้างเคียงจากการใช้ยาโดยปรึกษาพูดคุยกับผู้ป่วยก่อนการใช้ยา
  • หากผู้ป่วยกำลังอยู่ในภาวะที่ต้องให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เนื่องจากยังไม่มีผลการทดสอบที่ชัดเจนว่ายาจะซึมผ่านน้ำนมไปเกิดผลกระทบต่อเด็กทารกหรือไม่
  • หากรักษาด้วยยา Acetylcysteine  แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น มีอาการแย่ลง มีปัญหาการหายใจ หรือมีสัญญาณของอาการแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที

ปริมาณการใช้ยา Acetylcysteine

ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Acetylcysteine เพื่อรักษาอาการจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด

ผู้ใหญ่ และเด็ก

  • ฉีดยาเข้าเส้นเลือด
    • ฉีดยาปริมาณ 300 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม โดยแบ่งเป็น 3 ครั้ง ภายใน 21 ชั่วโมง โดยฉีดยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หรือให้ยาค่อย ๆ ซึมเข้าสู่เส้นเลือดในเวลา 60-120 นาที ตามด้วย 50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หรือให้ยาค่อย ๆ ซึมเข้าสู่เส้นเลือดในเวลา 4 ชั่วโมง ตามด้วย 100 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หรือให้ยาค่อย ๆ ซึมเข้าสู่เส้นเลือดในเวลา 16 ชั่วโมง เริ่มรับประทานยาในปริมาณ 140 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม 1 ครั้ง จากนั้น หลังผ่านไป 4 ชั่วโมง ให้เริ่มรับประทานยาในปริมาณครั้งละ 70 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมทุก ๆ 4 ชั่วโมง จำนวน 17 ครั้ง หรือจนกว่าจะตรวจไม่พบระดับพิษในร่างกายจากการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด

ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Acetylcysteine เพื่อลดภาวะเสมหะเหนียวข้น

ยารับประทาน

ผู้ป่วยต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง 5-10 วัน หรือ ตามที่แพทย์กำหนด

  • แคปซูล
    • ผู้ใหญ่ และเด็กอายุมากกว่า 14 ปี รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล 2-3 ครั้ง/วัน
    • เด็กอายุมากกว่า 6 ปี รับประทานยาหลังมื้ออาหาร ครั้งละ 1 แคปซูล 2 ครั้ง/วัน
  • ยาผง
    • ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1 ซอง (200 มิลลิกรัม) 2-3 ครั้ง/วัน
    • เด็กอายุมากกว่า 6 ปี รับประทานครั้งละ 1 ซอง (100 มิลลิกรัม) 2-4 ครั้ง/วัน
  • ยาน้ำ
    • ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 10 มิลลิลิตร 2-3 ครั้ง/วัน
    • เด็ก รับประทานครั้งละ  5 มิลลิลิตร 2-4 ครั้ง/วัน
    • เด็กอายุมากกว่า 4 ปี รับประทานครั้งละ 300 มิลลิกรัม/วัน
    • เด็กอายุ 2-4 ปี รับประทานครั้งละ 200 มิลลิกรัม/วัน
    • เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี รับประทานครั้งละ 100 มิลลิกรัม/วัน

การใช้ยา Acetylcysteine

การใช้ยา Acetylcysteine เพื่อป้องกันอาการป่วย และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตับจากการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด หรือเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับไตจากการใช้สารทึบรังสีช่วยในขั้นตอนการฉายภาพเอกซเรย์ หรือ CT scan แพทย์อาจจ่ายยาในรูปแบบยารับประทานหรือยาฉีดในปริมาณที่เหมาะสม ดังนั้น ผู้ป่วยต้องใช้ยาตามปริมาณและวิธีการที่แพทย์กำหนดเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการใช้ยา เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ต้องสอบถามแพทย์ผู้ดูแลให้เข้าใจถี่ถ้วนก่อนเสมอ

หากผู้ป่วยลืมรับประทานยาในรอบเวลาหนึ่ง ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงช่วงเวลาในการรับประทานยารอบถัดไป ให้ข้ามยารอบนี้แล้วรับประทานยาของรอบใหม่แทน โดยใช้ยาตามปริมาณปกติ ไม่เพิ่มปริมาณยา ไม่รับประทานยาเกินประมาณที่กำหนดในแต่ละครั้ง

หลังใช้ยาไปแล้ว หากเป็นไปได้ ผู้ป่วยควรพยายามไอเพื่อขับเสมหะเหลวที่อ่อนตัวลงหลังการใช้ยาออกมาจากร่างกาย หากผู้ป่วยไม่สามารถขับเสมหะออกมาได้ด้วยตนเอง อาจต้องใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อดูดมูกเสมหะเหล่านั้นออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้เสมหะข้นเหนียวก่อตัวอยู่ในปอดแล้วก่อปัญหาในระบบทางเดินหายใจ

ส่วนการเก็บรักษายา ต้องใช้ยาทันทีที่เปิดบรรจุภัณฑ์ ไม่เปิดฝาขวดยาทิ้งไว้ เก็บบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิทไว้ในตู้เย็น แต่ต้องไม่แช่ยาในช่องแช่แข็ง โดยต้องเก็บยาไว้ในตำแหน่งที่พ้นจากมือเด็ก และกำจัดยาทิ้งไปหากเปิดฝาขวดยาทิ้งไว้กว่า 4 วัน หากยาหมดอายุ หรือเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาแล้ว

นอกจากนี้ ในระหว่างที่ใช้ยา Acetylcysteine แพทย์อาจต้องตรวจเช็คอาการและผลข้างเคียงต่าง ๆ ทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ผู้ป่วยควรให้ความร่วมมือกับแพทย์อยู่เสมอ หรือมาพบแพทย์ตามนัดหมาย

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Acetylcysteine

ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้เผชิญกับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการใช้ Acetylcysteine แต่อย่างใด หรืออาจพบผลข้างเคียงจากการใช้ยาเพียงเล็กน้อย โดยอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยานี้ที่อาจพบ ได้แก่

  • เป็นหวัด น้ำมูกไหล
  • ผิวหนังเนื้อตัวเย็นชืด
  • ง่วงนอน
  • มีไข้
  • มีอาการอักเสบระคายเคืองบริเวณปาก หรือ ลิ้น
  • คลื่นไส้ อาเจียน

แม้อาจพบผลข้างเคียงเป็นอาการป่วยเพียงเล็กน้อยข้างต้น แต่หากอาการดังกล่าวไม่ทุเลาลง ยังคงป่วยอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง หรือมีอาการที่รุนแรงขึ้น ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการต่อไป

ส่วนผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก แต่มีความรุนแรง และผู้ป่วยควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์ทันที เมื่อพบอาการดังต่อไปนี้

  • มีผื่นลมพิษขึ้นที่ผิวหนัง
  • หน้าบวม ปากบวม ลิ้นบวม
  • หายใจติดขัด แน่นหน้าอก