เลเซอร์ผิวหนัง (Laser Skin) คือกระบวนการรักษาผิวหนังอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นด้วยเลเซอร์ โดยยิงแสงเลเซอร์ไปตรงบริเวณที่เกิดความผิดปกติ และลอกชั้นผิวหนังออกทีละชั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการกรอผิวด้วยแสงเลเซอร์ (Lasabrasion) หรือการยิงทำลายด้วยแสงเลเซอร์ (Laser Vaporization)
การทำเลเซอร์ผิวหนังช่วยรักษาปัญหาผิวพรรณได้ โดยทั่วไปแล้ว การทำเลเซอร์จะรักษาปัญหาผิวพรรณด้านต่าง ๆ ดังนี้
- เนื้องอกหลอดเลือด ผู้ที่มีปานแดง เส้นเลือดฝอยบนใบหน้าหรือบริเวณคอขยายตัวผิดปกติ เกิดเนื้องอกฮีแมงจิโอมา (Haemangiomas) หรือป่วยเป็นมะเร็งคาโปซี (Kaposi Sarcoma) เข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ผิวหนังได้
- เม็ดสีผิดปกติหรือรอยสัก เลเซอร์ผิวหนังใช้รักษาผู้ที่เม็ดสีผิวผิดปกติ เช่น รอยปาน ฝ้า หรือปานดำแต่กำเนิด รวมทั้งใช้ลบรอยสักบนผิวหนัง
- การกำจัดขน เลเซอร์ใช้กำจัดขนได้ โดยเฉพาะผู้ที่เกิดภาวะขนดกขึ้นตามร่างกาย
- คีลอยด์และรอยแผลเป็นที่นูนหนา ผู้ที่มีรอยแผลเป็นนูนและหนา หรือผู้ที่เกิดแผลคีลอยด์นั้น อาจหาวิธีกำจัดรอยแผลได้ยาก การทำเลเซอร์ผิวหนังจะช่วยตกแต่งแผลเป็นให้ดีขึ้นได้
- การฟื้นฟูปรับสภาพผิว การทำเลเซอร์ปรับสภาพผิวจะครอบคลุมปัญหารอยเหี่ยวย่น รอยแผลเป็น และผิวไหม้จากแสงแดด
- การรักษาอื่นๆ นอกจากปัญหาผิวพรรณต่างๆ ที่กล่าวไปแล้ว การทำเลเซอร์ผิวหนังยังช่วยรักษาหูดที่เกิดจากการติดเชื้อ อาการรอยโรคบนผิวหนัง มะเร็งผิวหนัง สิว และโรคสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา (Psoriasis Plaques)
ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์ควรพิจารณาว่าปัญหาผิวพรรณที่เกิดขึ้นนั้นรักษาด้วยวิธีดังกล่าวได้หรือไม่ ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะการทำเลเซอร์เพื่อฟื้นฟูและปรับภาพผิวเพียงอย่างเดียว ซึ่งครอบคลุมผู้ที่มีปัญหาผิวพรรณต่อไปนี้
- ริ้วรอยหรือรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา บริเวณปาก หรือบนหน้าผาก
- จุดด่างดำ กระแดด หรือกระในผู้สูงอายุ
- ระดับสีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือผิวไม่เรียบเนียน
- ผิวไหม้จากแสงแดด
- หลุมสิวหรือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว อีสุกอีใส หรือได้รับบาดเจ็บ
- ผิวหนังกลับมาหย่อนคล้อยหลังจากยกกระชับผิว
ทั้งนี้ การทำเลเซอร์ผิวหนังเพื่อปรับสภาพผิวไม่ได้แก้ปัญหาผิวคล้ำหรือรอยแตกลาย ผู้ที่มีปัญหาผิวพรรณตามที่ยกมาข้างต้นควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับขั้นตอนการทำเลเซอร์ผิวหนัง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง รวมทั้งช่วยตัดสินใจเลือกวิธีรักษาปัญหาผิวพรรณได้อย่างเหมาะสม
ประเภทของเลเซอร์ผิวหนัง
ผู้ที่มีปัญหาผิวพรรณเกี่ยวกับริ้วรอย ความหมองคล้ำ อาการไหม้ ผิวหนังหย่อนคล้อย หรือรอยแผลเป็นจากสิวอาจขจัดปัญหาดังกล่าวได้ด้วยการทำเลเซอร์ปรับสภาพผิว โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะเป็นผู้ดำเนินการรักษา แสงเลเซอร์ที่ใช้ยิงจะช่วยลบร่องรอยหรือจุดที่เป็นปัญหาออกไป ซึ่งเลเซอร์แต่ละชนิดก็แตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรง โดยทั่วไปแล้ว เลเซอร์ที่ใช้ปรับสภาพผิวแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
- เลเซอร์ที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก (Ablative Laser Resurfacing) คือวิธียิงเลเซอร์ลอกชั้นผิวที่บางออกไป แพทย์จะยิงเลเซอร์ที่มีระดับความแรงสูงไปที่ผิวหนัง เพื่อลอกผิวชั้นบนตรงบริเวณที่เกิดปัญหา โดยเลเซอร์จะผ่านแทรกเข้าไปในผิวชั้นกลาง ทำให้ผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้น การยิงเลเซอร์แต่ละครั้งจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพออกไป เลเซอร์ผิวหนังกลุ่มนี้ใช้แสงเลเซอร์ 2 แบบสำหรับรักษาปัญหาผิวพรรณ ได้แก่
- คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (CO2 Laser) คือเลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพมาก โดยแพทย์จะยิงแสงเลเซอร์เป็นจังหวะสั้น ๆ หรือยิงแสงเลเซอร์อ่อน ๆ อย่างต่อเนื่องเข้าไปในชั้นผิวหนัง ความร้อนจากเลเซอร์จะลอกชั้นผิวบางออก เลเซอร์ชนิดนี้ช่วยกำจัดรอยแผลเป็นที่หนาและลึก ใช้รักษารอยเหี่ยวย่น แผลเป็น หูด รูขุมขนกว้างบนจมูก รวมทั้งกระเนื้อและมะเร็งผิวหนัง คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์จะทำให้รู้สึกเจ็บได้ระหว่างทำเลเซอร์ และมักใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์
- เลเซอร์เออร์เบียม (Erbium: YAG laser) คือเลเซอร์ที่ใช้รักษาปัญหาผิวพรรณซึ่งเกิดขึ้นตื้น ๆ ไม่ได้เกิดร่องรอยลึก เช่น ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า มือ ลำคอ หรือหน้าอก และมักใช้รักษาหลุมสิว แสงเลเซอร์อาจทำให้เกิดรอยไหม้บริเวณเนื้อเยื่อที่ถูกยิงเลเซอร์บ้าง รวมทั้งอาจเกิดอาการบวม รอยช้ำ หรือรอยแดงเล็กน้อยอันเป็นผลข้างเคียงของการทำเลเซอร์ ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าการทำเลเซอร์ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ โดยใช้เวลาพักฟื้นเพียงสัปดาห์เดียว ทั้งนี้ เลเซอร์เออร์เบียมยังเหมาะกับผู้ที่มีผิวเข้ม
- เลเซอร์ที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอกเฉพาะส่วน (Fractionated Laser Resurfacing) คือเลเซอร์ผิวหนังที่ทำให้ผิวลอกชนิดหนึ่ง ใช้รักษาปัญหาผิวพรรณเฉพาะส่วน โดยแพทย์จะยิงแสงเลเซอร์บาง ๆ ผ่านเข้าไปในชั้นผิว เกิดหลุมเล็ก ๆ จำนวนมากซึ่งเป็นบริเวณที่เซลล์ผิวเก่าถูกทำลาย และกระตุ้นเซลล์ผิวที่อยู่ลึกลงไปให้ผลิตคอลลาเจนออกมา ส่วนเซลล์ผิวดีที่อยู่ล้อมรอบนั้นจะช่วยรักษาผิวหนังที่ถูกเลเซอร์ทำลาย ทำให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ หลังทำเลเซอร์อาจเกิดรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่วัน ผู้ที่ทำเลเซอร์ผิวชนิดนี้อาจต้องมารับการทำเลเซอร์อีก 3-5 ครั้ง โดยแต่ละครั้งให้เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไป บางรายอาจเห็นผลทันที และบางรายอาจต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน
- เลเซอร์ที่ไม่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก (Non-Ablative Laser Resurfacing) คือการรักษาผิวหนังแบบรุนแรงและใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าการทำเลเซอร์ที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก แพทย์จะใช้รังสีอินฟราเรดยิงเข้าไปที่ผิวชั้นใน โดยความร้อนของเลเซอร์จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวที่ซึ่งถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม การทำเลเซอร์ผิวหนังชนิดนี้เน้นยิงเลเซอร์เข้าไปที่ผิวชั้นใน อาจทำให้ต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเห็นผล
การเลือกคลินิกเลเซอร์ผิวหนัง
โดยทั่วไปแล้ว การทำเลเซอร์ผิวหนังจัดเป็นกระบวนการทางการแพทย์เพื่อเสริมความงาม การประกันสุขภาพจึงไม่ครอบคลุมในการออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยทำเลเซอร์ผิวหนังเพื่อรักษารอยแผลหรือกำจัดเนื้อร้ายที่เติบโตบนผิวหนัง อาจถือเป็นข้อยกเว้นได้ ผู้ที่สนใจทำเลเซอร์ผิวหนังควรปรึกษาแพทย์และบริษัทหรือหน่วยงานที่ตนทำประกันสุขภาพไว้ด้วย เพื่อประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่สามารถเบิกจ่ายจากประกันสุขภาพได้ โดยอาจมีอัตราค่าใช้จ่ายหลากหลายแบบให้เป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจ
นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจทำเลเซอร์ผิวหนังควรพิจารณาความปลอดภัยของคลินิกด้วย การทำเลเซอร์แต่ละประเภทมีระดับความปลอดภัยที่แตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับระบบเลเซอร์ที่ติดตั้งและนำมาใช้รักษา โดยต้องพิจารณาความปลอดภัยขององค์ประกอบเหล่านี้
- บุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
- ความปลอดภัยของระบบการป้องกันดวงตาระหว่างทำเลเซอร์สำหรับผู้ป่วย
- ระบบเตือนความปลอดภัยที่ติดตั้งนอกห้องทำเลเซอร์
- อุปกรณ์กันแสงสะท้อน
- การหลีกเลี่ยงวัตถุไวไฟ
การเตรียมตัวสำหรับทำเลเซอร์ผิวหนัง
ผู้ที่ต้องการทำเลเซอร์ผิวหนังเพื่อรักษาปัญหาผิวพรรณควรเตรียมตัวให้พร้อม โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกประเภทหรือวิธีรักษาของเลเซอร์ไปจนถึงก่อนเข้ารับการรักษา ซึ่งปฏิบัติดังนี้
- ปรึกษาแพทย์ ผู้ที่ตัดสินใจทำเลเซอร์ผิวหนังควรเริ่มจากการปรึกษาแพทย์ โดยไปพบแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งหรือแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการรักษาปัญหาผิวพรรณที่เกิดขึ้น แพทย์จะซักประวัติอาการป่วยหรือการใช้ยาที่ผ่านมา รวมทั้งกระบวนการทางการแพทย์อื่น ๆ ที่เคยเข้ารับการรักษา ทั้งนี้ หากผู้ป่วยเป็นโรคเริมที่ปากควรให้ข้อมูลดังกล่าวด้วย เนื่องจากการทำเลเซอร์ที่ใบหน้าอาจส่งผลกระทบต่อปัญหาดังกล่าว
- ตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจผิวหนังบริเวณที่จะรักษา เพื่อช่วยวินิจฉัยผลลัพธ์หลังการทำเลเซอร์ กล่าวคือ แพทย์จะรักษาปัญหาผิวพรรณได้อย่างไรบ้าง รวมทั้งผิวหนังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรหลังรับการรักษาด้วยเลเซอร์ผิวหนังแล้ว
- หยุดและใช้ยาบางอย่าง ผู้ที่ตัดสินใจทำเลเซอร์ผิวหนังจะต้องหยุดใช้ยาหรืออาหารเสริมบางอย่าง เช่น ยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือวิตามินอี เนื่องจากยาหรืออาหารเสริมเหล่านี้จะทำให้เลือดหยุดยาก ซึ่งกินเวลา 10 วันก่อนทำเลเซอร์ ส่วนผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคเริมที่ปาก จะได้รับยาต้านไวรัสก่อนและหลังทำเลเซอร์เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส ทั้งนี้ แพทย์จะให้รับประทานยาปฏิชีวนะระหว่างที่เข้ารับการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ทั้งนี้ ผู้ที่ทำเลเซอร์ชนิดที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอกอาจได้รับยาทาวิตามินเอ (Topical Retinoid) สำหรับทาผิวเป็นเวลา 4 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการรักษา
- หยุดสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่ควรงดสูบบุหรี่เป็นเวลา 2 สัปดาห์ทั้งก่อนและหลังเข้ารับการรักษา เนื่องจากการสูบบุหรี่จะทำให้ฟื้นตัวได้ช้า
- เลี่ยงออกแดด ก่อนทำเลเซอร์ผิวหนังควรเลี่ยงออกแดดในตอนที่แดดแรง และใช้ครีมกันแดดเมื่อต้องออกแดดเสมอ เนื่องจากการออกแดดและโดนแดดแรงมากกว่า 2 เดือนก่อนทำเลเซอร์นั้น อาจทำให้บริเวณผิวหนังที่ทำเลเซอร์เปลี่ยนสีและไม่สม่ำเสมอ
ขั้นตอนการทำเลเซอร์ผิวหนัง
การทำเลเซอร์ผิวหนังเพื่อปรับสภาพผิวแต่ละประเภทต่างมีรายละเอียดขั้นตอนเฉพาะเจาะจง ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนระหว่างการทำเลเซอร์ และหลังการทำเลเซอร์ผิวหนัง ผู้ที่สนใจทำเลเซอร์ผิวหนังควรศึกษารายละเอียดของการทำเลเซอร์แต่ละประเภท ดังนี้
ระหว่างการทำเลเซอร์ผิวหนัง
- การทำเลเซอร์ชนิดที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก (Ablative Laser Resurfacing) ก่อนทำเลเซอร์ แพทย์จะทำความสะอาดผิวใบหน้า ปิดตาผู้ป่วยไว้ และให้ยาชาเฉพาะที่ หรือบางครั้งอาจให้ยาทำให้หลับแทนหากต้องทำเลเซอร์ทั่วใบหน้า หลังจากนั้นแพทย์จะยิงเลเซอร์ไปตรงจุดที่ต้องการรักษา แสงเลเซอร์จะทำลายผิวชั้นนอกหรือหนังกำพร้า และส่งผ่านความร้อนไปที่หนังแท้ ทำให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัว เมื่อแผลจากเลเซอร์หายแล้ว จะเกิดผิวใหม่ที่เรียบและบางขึ้นมา โดยทั่วไปแล้ว การทำเลเซอร์ชนิดนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที-2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้และขนาดของผิวที่ต้องรักษา
- การทำเลเซอร์ชนิดที่ไม่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก (Non-ablative Laser Resurfacing) ก่อนเริ่มทำเลเซอร์แพทย์จะทำความสะอาดใบหน้า ปิดตาผู้ป่วย และอาจให้ยาชาเฉพาะที่เช่นเดียวกับการทำเลเซอร์แบบแรก ทั้งนี้ แพทย์อาจใช้สารที่ทำให้เย็น ทาบริเวณที่จะยิงเลเซอร์เพื่อปกป้องผิวชั้นนอก เมื่อแพทย์ยิงเลเซอร์ แสงเลเซอร์จะกระตุ้นให้ผลิตคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ รวมทั้งกระชับผิวและปรับสภาพโทนสีผิวให้ดีขึ้น โดยทั่วไปแล้ว จะใช้เวลาทำเลเซอร์ประมาณ 15 นาที-1 ชั่วโมงครึ่ง หากต้องการเห็นผลอย่างชัดเจน ควรเข้ารับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
หลังการทำเลเซอร์ผิวหนัง
- การทำเลเซอร์ชนิดที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก ผิวหนังที่ถูกยิงเลเซอร์จะบวมและเกิดอาการระคายเคืองหลังรับการรักษา รวมทั้งอาจมีสะเก็ดน้ำเหลืองออกมาด้วย ซึ่งไม่ควรแกะสะเก็ดนั้น ทั้งนี้ แพทย์อาจทาขี้ผึ้งและปิดแผลบริเวณที่ยิงเลเซอร์อย่างดีไม่ให้สัมผัสน้ำหรืออากาศได้ เมื่อเกิดอาการปวดแผล ควรรับประทานยาแก้ปวดและประคบน้ำแข็งเพื่อบรรเทาอาการให้ทุเลาลง นอกจากนี้ ควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเปล่า น้ำเกลือ หรือกรดแอซีติก (Acetic Acid) และทาขี้ผึ้งบริเวณดังกล่าวระหว่างพักฟื้นร่างกาย รวมทั้งนอนพักอยู่บ้านและเลี่ยงทำกิจกรรมหนัก ๆ เมื่อเกิดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมา ผู้ป่วยอาจแต่งหน้าเพื่อปกปิดรอยแดงได้ตามปกติ
- การทำเลเซอร์ชนิดที่ไม่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก หลังเข้ารับการทำเลเซอร์แล้ว อาจทำให้เกิดรอยแดงหรือบวมขึ้นสักระยะหนึ่ง ผู้ป่วยอาจใช้น้ำแข็งประคบ รวมทั้งสามารถกลับไปแต่งหน้าและทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ตามปกติทันที
ผลลัพธ์หลังทำเลเซอร์ผิวหนัง
เมื่อเข้ารับการรักษาปัญหาผิวพรรณด้วยการทำเลเซอร์แล้ว อาจต้องใช้เวลาสักระยะจนกว่าจะเห็นผล โดยการทำเลเซอร์ผิวหนังแต่ละประเภทให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- การทำเลเซอร์ชนิดที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก หลังทำเลเซอร์ผิวหนังชนิดนี้ ผิวอาจมีรอยแดงหรือออกสีชมพูเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อบริเวณที่ถูกยิงเลเซอร์เริ่มหายดีแล้ว คุณภาพและลักษณะของผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด โดยการทำเลเซอร์ชนิดนี้จะช่วยให้เห็นผลได้นานหลายปี
- การทำเลเซอร์ชนิดที่ไม่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก ผู้ที่รับการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้จะค่อย ๆ เห็นผลการรักษาที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้เห็นผลทันที โดยลักษณะผิวและสีผิวจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมากกว่าการรักษาเพื่อขจัดริ้วรอย
ทั้งนี้ หลังรับการทำเลเซอร์ผิวหนังทุกชนิด ควรเลี่ยงออกแดดหรือรับแดดจ้าเป็นเวลา 1 ปี เพื่อป้องกันเม็ดสีผิวเกิดความผิดปกติ เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้จากการทำเลเซอร์ผิวหนังไม่ได้คงอยู่ถาวร และริ้วรอยสามารถเกิดขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงและผลข้างเคียงของเลเซอร์ผิวหนัง
การทำเลเซอร์ผิวหนังถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยรักษาปัญหาผิวพรรณต่าง ๆ อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้จะไม่สามารถเข้ารับการทำเลเชอร์ผิวหนังได้
- ผู้ที่เคยใช้ยารักษาสิวไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) ก่อนเข้ารับการรักษาได้ไม่นาน
- ผู้ป่วยเบาหวาน ภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
- ผู้ที่เคยมีประวัติรับการรักษาด้วยการฉายรังสีที่ใบหน้า
- ผู้ที่เคยมีประวัติเกิดแผลเป็นคีลอยด์
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
นอกจากนี้ การทำเลเซอร์ผิวหนังยังก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการรักษา ซึ่งแตกต่างกันไปตามประเภทของเลเซอร์ ดังนี้
การทำเลเซอร์ชนิดที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก
- เกิดรอยแดง บวม หรืออาการระคายเคือง ผู้ที่ทำเลเซอร์ชนิดนี้อาจเกิดรอยแดง บวม หรือรู้สึกระคายเคืองหลังรับการรักษา โดยอาการคันและบวมนั้นจะหายไป ต่างจากรอยแดงซึ่งอยู่นานหลายเดือน และจะเห็นชัดเจนซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความลึกที่ยิงเลเซอร์เข้าไป ทั้งนี้ ผู้ที่เคยมีปัญหาผิวหนังอย่างโรคผิวอักเสบโรซาเซีย (Rosacea) หรือผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) ก็อาจทำให้เห็นรอยแดงนั้นชัดมาก
- เกิดสิว หลังเข้ารับการทำเลเซอร์แล้วต้องทาขี้ผึ้งหนาหรือพันผ้าที่ใบหน้า อาจทำให้สิวเห่อและกลายเป็นผื่นหัวขาว (Milia) ขึ้นตรงบริเวณผิวหนังที่ถูกยิงเลเซอร์
- ติดเชื้อ ผู้ที่ทำเลเซอร์ชนิดนี้เสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อราได้ ส่วนใหญ่แล้ว มักทำให้ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริมกำเริบ
- สีผิวเปลี่ยน ผิวบริเวณที่ถูกยิงเลเซอร์อาจเข้มขึ้นหรืออ่อนลง ซึ่งจะเป็นเช่นนี้อยู่หลายสัปดาห์หลังทำเลเซอร์และหายไปเองโดยไม่ต้องรักษา ปัญหาสีผิวเข้มขึ้นมักพบได้ทั่วไปสำหรับผู้ที่มีผิวเข้มอยู่แล้ว โดยอาจใช้ยาทาวิตามินเอหรือกรดไกลโคลิค (Glycolic Acid) ทาหลังแผลหายดี ส่วนปัญหาสีผิวอ่อนกว่าปกตินั้นรักษาได้ยาก
- เกิดแผลเป็น ผู้ที่ทำเลเซอร์ชนิดนี้มีแนวโน้มเกิดรอยแผลเป็นบนผิวถาวร
- ขอบเปลือกตาม้วนออก (Ectropion) การทำเลเซอร์ใกล้บริเวณเปลือกตาล่างส่งผลให้เปลือกตาล่างม้วนออกข้างนอก จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
การทำเลเซอร์ชนิดที่ไม่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก
- ติดเชื้อ การทำเลเซอร์ชนิดนี้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้ป่วยเป็นโรคเริมได้
- สีผิวเปลี่ยน หากผู้ที่ทำเลเซอร์มีสีผิวเข้มอยู่แล้ว สีผิวอาจเข้มขึ้นกว่าเดิมหลังรับการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้ โดยสีผิวจะเข้มขึ้นเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น
- เกิดรอยแดงและบวมเล็กน้อย หลังทำเลเซอร์ผู้ป่วยอาจเกิดรอยแดงและบวมขึ้นมา ซึ่งอาการดังกล่าวมักเกิดขึ้นและคงอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน
- มีตุ่มใส ๆ และรอยแผลเป็น หลังรับการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้ อาจเกิดตุ่มใส ๆ และมีรอยแผลเป็นที่ผิวหนัง ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก
วิธีดูแลผิวหลังทำเลเซอร์
เมื่อทำเลเซอร์ผิวหนังเรียบร้อยแล้ว ควรดูแลผิวของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้บริเวณที่ทำเลเซอร์หายดีและเห็นผลอย่างชัดเจน โดยวิธีดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ทำได้ ดังนี้
- เมื่อครบ 24 ชั่วโมงหลังเข้ารับการทำเลเซอร์แล้ว ควรทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ถูกยิงเลเซอร์วันละ 4-5 ครั้ง และหมั่นทาขี้ผึ้งเพื่อไม่ให้เกิดสะเก็ดแผล
- แพทย์อาจสั่งให้ใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการบวมรอบดวงตา
- เมื่อถึงเวลานอน อาจนำหมอนมารองหนุนให้สูงเพื่อช่วยลดอาการบวมที่เกิดขึ้นหลังจากทำเลเซอร์ผิวหนัง
- โดยทั่วไปแล้ว จะใช้เวลา 10-21 วัน ผิวหนังที่ถูกยิงเลเซอร์จึงจะหายดี ผู้ป่วยสามารถแต่งหน้าได้ โดยใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil-free Makeup) เพื่อปกปิดรอยแดง
- ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่าป้องกันแสงแดดหรือค่าเอสพีเอฟ (Sun Protection Factor, SPF) 30 ขึ้นไป เพื่อปกป้องผิวที่บางลงหลังทำเลเซอร์
- เลี่ยงออกแดดหรือโดนแดดแรง รวมทั้งสวมเสื้อผ้าที่ปกป้องผิวจากแสงแดด เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หรือสวมหมวกเมื่อต้องออกกลางแจ้ง
- ควรบำรุงเซลล์ผิวใหม่ให้ชุ่มชื้น ส่วนผู้ที่ใช้ยาทารักษาสิวอุดตันหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไกลโคลิค ต้องหยุดใช้แล้วจึงกลับมาใช้ได้อีกครั้งหลังผ่านไป 6 สัปดาห์หรือตามแพทย์สั่ง