5 วิธีรักษาแผลเป็นที่ปลอดภัยและได้ผล

แผลเป็นอาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่มั่นใจที่จะโชว์ผิวหนังของตัวเอง จนต้องพยายามหาวิธีรักษาแผลเป็นด้วยยาหรือหัตการต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทาครีมลดรอยแผลเป็น การฉีดสเตียรอยด์ หรือการทำเลเซอร์ ซึ่งวิธีเหล่านี้อาจช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้จริง แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้รักษารอยแผลเป็นแต่ละชนิดที่แตกต่างกันออกไป

แผลเป็นเกิดจากกระบวนการฟื้นตัวตามธรรมชาติของร่างกายหลังได้รับการบาดเจ็บหรือเสียหายบริเวณผิวหนัง โดยทั่วไปความรุนแรงของแผลเป็นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาในการฟื้นตัวของอาการบาดเจ็บ แผลเป็นมีหลายประเภทและแต่ละประเภทก็มีวิธีรักษาที่แตกต่างกันออกไป เช่น แผลเป็นคีลอยด์ แผลเป็นนูน แผลเป็นจากแผลไหม้ รวมถึงรอยสิวก็ถือเป็นแผลเป็นประเภทหนึ่งเช่นกัน

5 วิธีรักษาแผลเป็นที่ปลอดภัยและได้ผล

5 วิธีรักษาแผลเป็นที่ปลอดภัยและได้ผล

แผลเป็นไม่สามารถรักษาให้หายไปได้อย่างถาวร แต่วิธีรักษาแผลเป็นเหล่านี้จะช่วยให้รอยแผลที่มีสีเข้มดูจางลง รอยแผลเป็นที่นูนขึ้นมาจากผิวหนังยุบลง รอยแผลเป็นที่เป็นหลุมดูตื้นขึ้น รวมถึงอาจช่วยบรรเทาอาการคัน อาการเจ็บปวด และรอยแดงที่เกิดขึ้นจากแผลเป็นด้วย 

วิธีรักษาแผลเป็นที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีดังนี้

1. การใช้เจลซิลิโคนลดรอยแผลเป็น

เจลซิลิโคนลดรอยแผลเป็นอาจอยู่ในรูปแบบของแผ่นซิลิโคนอ่อนนุ่มยืดหยุ่นสำหรับแปะลงบนผิวหนัง โดยมีวิธีการใช้คือแปะแผ่นเจลซิลิโคนลงบนผิวหนังที่มีรอยแผลเป็นวันละ 12 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ตัวซิลิโคนจะออกฤทธิ์ช่วยให้แผลเป็นนุ่มและเรียบเนียนขึ้น รวมถึงอาจช่วยบรรเทาอาการคันที่เกิดขึ้นบริเวณแผลเป็นได้ด้วย

2. การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์

การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์มักใช้ในการรักษาแผลเป็นนูนหรือแผลเป็นคีลอยด์ เพื่อช่วยให้แผลเป็นที่นูนขึ้นมาจากผิวหนังยุบตัวลงและเรียบเนียนมากขึ้น รวมถึงอาจช่วยบรรเทาอาการคัน รอยแดง และอาการปวดแสบปวดร้อนของแผลเป็นได้ด้วย โดยปกติแล้วจะฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ประมาณ 3 ครั้ง แต่จะเว้นระยะเวลาในการฉีดประมาณ 4–6 สัปดาห์ เพื่อประเมินการตอบสนองของแผลเป็นต่อตัวยาร่วมด้วย

3. การทำเลเซอร์

การทำเลเซอร์เป็นวิธีรักษาแผลเป็นที่ได้รับความนิยมอีกวิธีหนึ่ง โดยเฉพาะรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว การทำเลเซอร์จะเป็นการยิงแสงลงบนผิวหนังเพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไป ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นดูเรียบเนียนมากขึ้น รวมถึงช่วยลดรอยแดง อาการคัน และความเจ็บปวดที่เกิดจากแผลเป็นด้วย อย่างไรก็ตาม การทำเลเซอร์ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย

4. การฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มผิวหนังอย่างกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) สามารถนำมาใช้รักษาแผลเป็นได้ โดยการฉีดฟิลเลอร์จะทำให้แผลเป็นที่เป็นหลุม เช่น หลุมสิว ดูตื้นหรืออวบอิ่มมากขึ้น แต่การฉีดฟิลเลอร์จะคงอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น จำเป็นต้องมีการฉีดซ้ำเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด และการฉีดฟิลเลอร์จำเป็นต้องฉีดโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย

5. การผ่าตัด

การผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาแผลเป็นอีกวิธีหนึ่ง โดยอาจเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ไขลักษณะของแผลเป็นให้ดูดีมากขึ้น ผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนังเพื่อให้แผลเป็นมีขนาดเล็กลง หรือผ่าตัดแผลเป็นที่เกิดขึ้นบริเวณข้อต่อเพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกมากขึ้นก็ได้เช่นกัน 

แต่การผ่าตัดไม่ได้เหมาะสมกับการรักษาแผลเป็นทุกชนิด และแพทย์จำเป็นต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนทำการผ่าตัด เพราะอาจทำให้แผลเป็นเดิมมีลักษณะแย่ลง หรือเกิดแผลเป็นใหม่ที่รุนแรงมากขึ้นได้เช่นกัน

แม้ว่าแผลเป็นอาจใช้เวลานานหลายเดือนหรือนานเป็นปีในการรักษา แต่วิธีรักษาแผลเป็นเหล่านี้ก็เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถช่วยให้รอยแผลเป็นจางลงได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม หากแผลเป็นที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ หรือทำให้เกิดความรู้สึกไม่ชอบในร่างกายของตนเอง อาจไปพบแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับคำปรึกษาอย่างเหมาะสม