ค่าความดันเป็นค่าที่ใช้บ่งชี้ถึงความดันโลหิตภายในร่างกายว่า ความดันของเราอยู่ในระดับมาตรฐาน สูงเกินไป หรือว่าต่ำผิดปกติ หากค่าความดันผิดปกติไปอาจแสดงถึงสุขภาพของเราที่เปลี่ยนแปลงไป
ค่าความดันที่ผิดปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปมักไม่ส่งสัญญาณหรือแสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็นชัด แต่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในภายหลัง โดยเฉพาะค่าความดันที่สูงเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหรือภาวะที่รุนแรงขึ้นได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด อัมพาต โรคไต และโรคหลอดเลือดสมอง
ค่าความดันเท่าไหร่ถึงอยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ
ค่าความดันจะถูกวัดออกมาเป็นหน่วยมิลลิเมตรปรอท (mmHg) โดยจะวัดทั้งหมด 2 ค่า ได้แก่ ค่าความดันตัวบน (Systolic) ที่บ่งบอกถึงค่าความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว และค่าความดันตัวล่าง (Diastolic) ที่บ่งบอกถึงค่าความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว
โดยค่าความดันที่ปกติ ค่าความดันตัวบนจะอยู่ที่ระหว่าง 90–130 มิลลิเมตรปรอท และค่าความดันตัวล่างจะต่ำกว่า 85 มิลลิเมตรปรอท ส่วนค่าความดันที่มากหรือน้อยกว่านี้ จะถูกแบ่งออกเป็นระดับตามความรุนแรง ดังนี้
- อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension) ค่าความดันตัวบนระหว่าง 130–139 มิลลิเมตรปรอท หรือค่าความดันตัวล่างระหว่าง 85–89 มิลลิเมตรปรอท
- มีภาวะความดันโลหิตสูง ค่าความดันตัวบนสูงเกิน 140 มิลลิเมตรปรอท หรือค่าความดันตัวล่างสูงเกิน 90 มิลลิเมตรปรอท
- มีภาวะความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) ค่าความดันตัวบนต่ำกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท หรือค่าความดันตัวล่างต่ำกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท โดยควรได้รับการประเมินโดยแพทย์อีกครั้ง
ทั้งนี้ ค่าความดันเป็นค่าที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระหว่างวัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การหายใจ การออกกำลังกาย ท่าทางของร่างกาย ภาวะทางอารมณ์ หรือการนอนหลับ ดังนั้น เพื่อความแม่นยำในการวัดค่าความดัน ให้นั่งขณะวัดความดัน และวัดในช่วงเวลาที่ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย
ผู้ที่มีค่าความดันสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ปกติอยู่บ่อยครั้ง ควรไปพบแพทย์ โดยเฉพาะคนที่คนในครอบครัวมีภาวะผิดปกติด้านความดัน มีอายุมาก กำลังตั้งครรภ์ น้ำหนักตัวมาก สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารเค็มเป็นประจำ ไม่ออกกำลังกาย มีภาวะโพแทสเซียมในร่างกายต่ำ และมีโรคเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีค่าความดันโลหิตสูงพร้อมกับเกิดอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย ได้แก่ หายใจไม่อิ่ม เจ็บหน้าอก ปวดหลัง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ การมองเห็นผิดปกติ พูดลำบาก และรู้สึกชาบริเวณใบหน้า เนื่องจากอาการดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติทางร่างกายที่รุนแรง