มะตูมกับสรรพคุณทางยา

มะตูม ผลไม้ที่มักนำมาคั้นเป็นเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นและทำเป็นเมนูกินเล่นอย่างมะตูมเชื่อมหรือเค้กมะตูม เชื่อกันว่ามีสรรพคุณทางยาตามตำรับยาอายุรเวท ผู้คนจึงนิยมนำผลและส่วนต่าง ๆ ของต้นมะตูมมาใช้รักษาปัญหาสุขภาพบางประการด้วย

มะตูม

มะตูมประกอบด้วยสารสำคัญหลายชนิด เช่น แทนนิน ไกลโคไซด์ เตอร์ปีนอยด์ ฟีนอล และควิโนน ราก ใบ และเปลือกของต้นมะตูมนิยมนำมาต้มดื่มเป็นยาระบาย ลดไข้ หรือขับเสมหะ ส่วนผลใช้บรรเทาอาการท้องร่วง ปวดท้อง และแก้โรคบิด ที่สำคัญ ยังปรากฏการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของมะตูมในด้านการรักษาโรค ดังนี้

บรรเทาอาการท้องเสีย มีการนำมะตูมมาใช้บรรเทาอาการท้องเสียตามคำกล่าวอ้างสรรพคุณในตำรับยาอายุรเวทอย่างแพร่หลาย ทั้งยังปรากฏผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นที่สอดคล้องกับความเชื่อนี้ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทดลองนำผลมะตูมแห้งไม่ปอกเปลือกต้มในน้ำร้อน แล้วใช้น้ำที่ได้หยดลงในเซลล์ที่มีเชื้ออีโคไลอันเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ผลพบว่าสารสกัดจากผลมะตูมมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อดังกล่าวได้

นอกจากนี้ มะตูมอาจมีสรรพคุณเป็นยาป้องกันอาการท้องเสียอย่างรุนแรงที่เกิดจากโรคบิดได้ด้วย เนื่องจากมีสารเลกติน (Lectins) ที่ช่วยต้านเชื้อบิดชิเกลล่าอันเป็นสาเหตุของโรคบิดไม่มีตัว ดังปรากฏในงานวิจัยอีกชิ้นที่พบว่าสารสกัดจากผลมะตูมช่วยยับยั้งเชื้อบิดชิเกลล่าและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคบิด มะตูมจึงอาจช่วยรักษาและป้องกันอาการท้องเสียได้จริงตามที่มีกล่าวอ้างในตำรับยาอายุรเวท

แม้การศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นสรรพคุณของมะตูมในการบรรเทาอาการท้องเสีย แต่ก็ยังไม่ชัดเจนมากพอที่ทางการแพทย์จะแนะนำให้ใช้เป็นยารักษาอาการดังกล่าว หากมีอาการท้องเสียควรเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์เป็นดีที่สุด รวมทั้งดูแลเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัยให้สะอาดถูกสุขลักษณะ และอาจเข้ารับการฉีดวัคซีนไวรัสโรต้า (Rotavirus Vaccination) เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย

รักษาแผลในกระเพาะอาหาร สาเหตุหลักของโรคแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากการติดเชื้อเอชไพโลไร (H. Pylori) ซึ่งจะส่งผลให้ผนังกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กอักเสบ เยื่อบุทางเดินอาหารถูกทำลาย และกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งกรดออกมาจนบริเวณดังกล่าวเกิดเป็นแผล เชื่อกันว่าผลมะตูมมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร งานวิจัยชิ้นหนึ่งพิสูจน์คุณสมบัติด้านนี้โดยทดลองให้หนูที่ป่วยเป็นโรคนี้จากการติดเชื้อเอชไพโลไรกินสารสกัดจากมะตูมสดแล้ววัดผล ผลปรากฏว่าแผลในกระเพาะอาหารของหนูลดลงเทียบเท่ากับการใช้ยารักษาแผลในกระเพาะอาหารอย่างซูคราลเฟต (Sucralfate) จึงอาจกล่าวได้ว่าผลมะตูมสดมีประโยชน์ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไพโลไร โดยช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากงานวิจัยดังกล่าวศึกษากับสัตว์ทดลอง จึงยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามะตูมจะช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารในคน ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์เพื่อบรรเทาอาการอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารอันเกิดจากเชื้อเอชไพโลไรนั้นต้องได้รับยาปฏิชีวินะเพื่อฆ่าเชื้อ ควบคู่กับการรับประทานยาลดกรดเพื่อบรรเทาการเกิดแผล

รักษาเบาหวาน คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามะตูมมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน ประเด็นนี้ถูกนำไปศึกษากับหนูทดลองที่ป่วยเป็นโรคนี้ ผลพบว่าหนูที่ได้กินสารสกัดจากเปลือกมะตูมเป็นเวลา 28 วัน มีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ สารสกัดมะตูมยังช่วยเพิ่มระดับอินซูลินและควบคุมไขมันในเลือด มะตูมจึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคเบาหวานได้

อย่างไรก็ตาม ยังสรุปอย่างชัดเจนไม่ได้ว่ามะตูมมีสรรพคุณรักษาโรคเบาหวานมากน้อยเพียงใด เนื่องจากผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นการทดลองกับสัตว์เท่านั้น จำเป็นต้องมีการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยโดยตรงต่อไป ที่สำคัญ มะตูมอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงแก่ผู้ป่วยเบาหวานได้ เพราะหากมะตูมช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้จริง การใช้ยารักษาเบาหวานควบคู่ไปด้วยนั้นอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เกินไปได้ ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ รวมทั้งหมั่นสังเกตระดับน้ำตาลในเลือดขณะใช้มะตูมเป็นยารักษาโรค

ป้องกันโรคมะเร็ง เชื่อกันว่ามะตูมมีสรรพคุณในการรักษาโรคมะเร็งต่าง ๆ ซึ่งจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของมะตูมในการต้านเซลล์มะเร็งและป้องกันสารเคมีบางชนิด ซึ่งอาจส่งผลดีต่ออาการของโรค ดังปรากฏในการศึกษากับเซลล์มะเร็งบางชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งระบบประสาทนิวโรบลาสโตมา  

นอกจากนี้ การรับประทานมะตูมยังอาจส่งผลดีต่ออาการของโรคมะเร็งตับ เนื่องจากมีการทดลองในสัตว์ชิ้นหนึ่งเผยให้เห็นว่าหนูที่ป่วยเป็นมะเร็งตับมีอาการอักเสบและการเจริญเติบโตของเนื้อร้ายลดลงหลังจากได้กินสารสกัดมะตูมเข้าไป ทั้งนี้ สารสกัดมะตูมจะมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมากน้อยเพียงใด จำเป็นต้องมีการทดสอบกับผู้ป่วยจริงโดยตรงต่อไป เนื่องจากงานวิจัยในปัจจุบันล้วนศึกษากับสัตว์หรือเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองเท่าน้้น ไม่อาจรับรองผลได้อย่างชัดเจนหากนำมาใช้รักษาคน สำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานมะตูมเพื่อสรรพคุณทางยาควรปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากมะตูมอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อภาวะสุขภาพบางประการ หรือทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคบางตัวได้

บริโภคมะตูมอย่างไรให้ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ

  • ไม่ควรรับประทานมะตูมมากเกินไป เนื่องจากอาจทำให้มีอาการท้องไส้ปั่นป่วนและท้องผูกได้
  • สตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนนำมะตูมมาใช้รักษาอาการป่วย เนื่องจากยังไม่ปรากฏข้อมูลทางการแพทย์เพียงพอต่อการรับรองความปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร
  • ผู้ป่วยเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้มะตูมเป็นยาร่วมกับยารักษาเบาหวาน เนื่องจากอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำเกินไปได้
  • หยุดบริโภคมะตูมก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในช่วงระหว่างและหลังการผ่าตัด