ใส่ถุงยางท้องไหม ไขข้อข้องใจเรื่องการใส่ถุงยาง

“ใส่ถุงยางท้องไหม” เป็นคำถามที่หลายคนอาจยังคงสงสัย แม้ว่าการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยจะได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายว่าเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงก็ตาม นั่นอาจเป็นเพราะว่าในบางทีเราก็ยังได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับถุงยางแตกหรือถุงยางหลุด จนเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น ทำให้ผู้ที่ได้รับข้อมูลเหล่านี้เกิดความกังวลใจตามมานั่นเอง

แม้ว่าการใส่ถุงยางอนามัยจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่สูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% โดยทั่วไปหากใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดประมาณ 98% เพราะปัจจัยบางอย่างอาจทำให้ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยลดลงได้ ซึ่งหากเราทราบเกี่ยวกับสาเหตุหรือปัจจัยเหล่านี้ เราก็จะสามารถคุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ใส่ถุงยางท้องไหม

สาเหตุที่อาจทำให้ประสิทธิภาพของถุงยางลดลงจนเกิดการตั้งครรภ์

เพื่อตอบคำถามว่า “ใส่ถุงยางท้องไหม” มารู้จักกับปัจจัยที่อาจทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของถุงยางอนามัยลดลง จนนำไปสู่การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. การใส่ถุงยางไม่ถูกต้อง

การใส่ถุงยางอนามัยควรใส่เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ โดยต้องบีบไล่อากาศบริเวณจุกของถุงยางอนามัยออกก่อนการใส่ จากนั้นวางถุงยางอนามัยลงบนปลายอวัยวะเพศที่แข็งตัวและค่อย ๆ รูดถุงยางอนามัยส่วนที่เหลือให้คลุมลงมาจนถึงโคนอวัยวะเพศ นอกจากนี้ การแกะซองถุงยางอนามัยควรแกะด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรใช้ฟันหรือของมีคมในการแกะ เพราะอาจทำให้เกิดการฉีกขาดได้

2. การใส่ถุงยางที่มีขนาดไม่เหมาะสม

ถุงยางอนามัยมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ผู้ใช้ควรเลือกใส่ถุงยางอนามัยที่มีขนาดเหมาะสมกับตัวเอง โดยทำการวัดขนาดของถุงยางอนามัยเมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ เพราะการใส่ถุงยางอนามัยที่มีขนาดใหญ่เกินไปอาจลดประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยได้ เนื่องจากการเสียดสีที่เกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้ถุงยางอนามัยหลุด และทำให้เกิดการตั้งครรภ์ตามมานั่นเอง

3. การใส่ถุงยางที่หมดอายุหรือเสื่อมสภาพ

ก่อนใช้ถุงยางอนามัยควรตรวจสอบวันหมดอายุบนบรรจุภัณฑ์ก่อน ไม่ควรใช้ถุงยางอนามัยที่หมดอายุแล้วนอกจากนี้ การเก็บรักษาถุงยางอนามัยอย่างไม่เหมาะสม เช่น ใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพได้ โดยควรเก็บถุงยางอนามัยในที่แห้ง ปราศจากความร้อน และหลีกเลี่ยงพื้นผิวที่แหลมคม หยาบกร้าน หรือมีการเสียดสีบ่อย ๆ ด้วย

4. การใส่ถุงยางมากกว่า 1 ชิ้นพร้อมกัน

บางคนอาจเข้าใจว่าการใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย และช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น ความจริงแล้วการใส่ถุงยางอนามัย 2 ชั้นจะทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างถุงยางอนามัยในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ และอาจทำให้ถุงยางอนามัยแตกหรือฉีกขาด จนนำไปสู่การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้

5. การใช้สารหล่อลื่นผิดประเภท

สารหล่อลื่นที่ควรใช้กับถุงยางอนามัยคือสารหล่อลื่นสูตรน้ำหรือสารหล่อลื่นสูตรซิลิโคนเท่านั้น ไม่ควรใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น ปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum Jelly) เบบี้ออยล์ โลชั่นทาผิว น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันนวด เพราะอาจทำให้ถุงยางอนามัยแตกหรือเสื่อมประสิทธิภาพได้

วิธีใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์

เพื่อป้องกันความกังวลว่าใส่ถุงยางท้องไหม และเพื่อให้สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้ถุงยางอนามัยตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • ควรตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ใช้ถุงยางอนามัยที่มีสภาพดี ไม่ฉีกขาด เปราะ แข็ง หรือเหนียว และควรใส่ถุงยางอนามัยตามวิธีการใส่ที่ถูกต้องด้วย
  • ควรฉีกซองถุงยางอนามัยด้วยความระมัดระวัง ไม่ใช้ฟันหรือของมีคมในการฉีกซองถุงยางอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการเก็บถุงยางอนามัยในที่ที่มีอากาศร้อนและในพื้นผิวที่มีการเสียดสีบ่อย เช่น ในกระเป๋าสตางค์ หรือในรถ
  • ควรใช้สารหล่อลื่นอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสียดสีมากเกินไปจนทำให้ถุงยางแตก และไม่ควรใช้สารหล่อลื่นที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ
  • หลังจากมีเพศสัมพันธ์ ให้ถอนอวัยวะเพศออกตอนที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวอยู่ โดยระวังไม่ให้ถุงยางอนามัยหลุดออกมา และการถอดถุงยางอนามัยออกจากอวัยวะเพศควรระวังไม่ให้อสุจิไหลออกมาภายนอกถุงยางอนามัยด้วย
  • ใช้ถุงยางอนามัยชิ้นใหม่ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เสมอ แม้จะมีเพศสัมพันธ์ 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันก็จำเป็นต้องเปลี่ยนถุงยางอนามัยใหม่
  • ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไข่ตก เพื่อลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงอาจใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิด 

บทความนี้คงสามารถคลายความสงสัยที่ว่า “ใส่ถุงยางท้องไหม” ของใครหลายคนได้แล้ว ซึ่งการใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่สามารถช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย ดังนั้น จึงควรใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง เพื่อการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย