แสบตา

ความหมาย แสบตา

แสบตา (Eye Burning) คือ การระคายเคือง แสบ คันบริเวณดวงตา ซึ่งอาจมีผลจากสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ภูมิแพ้ หรือการติดเชื้อที่ดวงตา อาการแสบตามักไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือส่งผลกระทบรุนแรง แต่หากมีการติดเชื้อหรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในเวลาอันเหมาะสม ก็อาจเป็นอันตรายจนทำให้เกิดความเสียหายต่อดวงตาหรือสูญเสียการมองเห็นได้

แสบตา

อาการแสบตา

อาการแสบตามักเกิดขึ้นร่วมกับอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • ตาแดงเรื่อ ๆ หรือตาแดงมาก
  • เปลือกตาบวม
  • ตาแฉะ
  • มีขี้ตาสีเหลืองหรือเขียว
  • มีคราบน้ำเหลืองบริเวณโคนขนตาหรือหัวตา
  • ไวต่อแสงหรือแพ้แสง
  • ลืมตาลำบากในตอนเช้าเนื่องจากดวงตาชื้นแฉะ
  • ในกรณีที่รุนแรง อาจมีรอยแผลหรือรอยขีดข่วนบนกระจกตา ซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

อาการสำคัญที่ควรไปพบแพทย์

  • เปลือกตาบวมอักเสบมากขึ้น
  • ขี้ตาเป็นสีเขียว ซึ่งอาจเป็นผลจากเชื้อแบคทีเรีย
  • เจ็บมากหรือดวงตาไวต่อแสงมากขึ้น
  • ความสามารถในการมองเห็นลดลง เห็นภาพมัว
  • หากอาการตาแดงไม่หายหรือดีขึ้นภายใน 3-5 วัน

สาเหตุของอาการแสบตา

ความผิดปกติของดวงตาอาจไม่มีอาการหรือสัญญาณเตือนที่ชัดเจน คนส่วนใหญ่จึงมักคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความเสื่อมของร่างกายตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การมองเห็นภาพชัดน้อยลง จึงควรเข้ารับการตรวจและรักษาทันทีเมื่อเกิดความผิดปกติ ซึ่งอาจมีสาเหตุจาก

การติดเชื้อ สาเหตุส่วนใหญ่ของการแสบตา คันหรือดวงตาชื้นแฉะมักเกิดจากการติดเชื้อจากสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้:

  • แบคทีเรีย
  • ไวรัส เช่น ไวรัสจากโรคเริม (Herpes Simplex Virus: HSV)
  • เชื้อราหรือพยาธิ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุจากการใช้คอนแทคเลนส์
  • ภูมิแพ้ เช่น ภูมิแพ้ตามฤดูกาลหรือไข้ละอองฟาง
  • ความผิดปกติของดวงตา ซึ่งอาจเป็นผลจากอาการตาแห้ง (Dry Eye) หรือโรคต้อเนื้อ (Pterygium)
  • การใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่ถูกวิธี เช่น ไม่รักษาความสะอาด ใส่คอนแทคเลนส์นานเกินไป หรือใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่น
  • ใช้น้ำยาหยอดตาหมดอายุ
  • ใช้เครื่องสำอางตกแต่งดวงตาร่วมกับผู้อื่น

สาเหตุหลักของการติดเชื้อบริเวณดวงตาคือเยื่อบุตาอักเสบหรือที่เรียกว่า ตาแดง เกิดจากการติดเชื้อบริเวณเยื่อบุตา ซึ่งเป็นเยื่อบาง ๆ หุ้มเปลือกตาและดวงตา ส่งผลต่อเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุตา จึงทำให้ดวงตามีลักษณะเป็นสีแดงเรื่อ ๆ การติดเชื้ออาจส่งผลให้เกิดอาการคันหรือน้ำตาไหลรุนแรง ซึ่งเป็นปัจจัยของการเกิดคราบน้ำเหลืองหรือขี้ตาบริเวณหัวตาและขนตา เยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากไวรัสหรือแบคทีเรียสามารถติดต่อกันได้ นอกจากนั้น ยังมีสาเหตุที่เกิดจากสารเคมี อาการแพ้ หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ดวงตา แต่สาเหตุที่เกิดขี้นในเด็กทารกมักมีผลจากอาการท่อน้ำตาอุดตัน (Blocked Tear Duct)

  • การบาดเจ็บ อาการแสบตาอาจเกิดขึ้นจากการได้รับอุบัติเหตุระหว่างกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเล่นกีฬา การใช้สารเคมีในที่ทำงาน หรือการใส่และถอดคอนแทคเลนส์ เป็นต้น
  • สิ่งแปลกปลอม อาการแสบคันหรือเคืองตามักเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น ทราย ละอองเกสรดอกไม้ แมลง หรือเครื่องเทศชนิดผง ซึ่งอาจขีดข่วนกระจกตาหรือทำให้เกิดการระคายเคืองและเจ็บปวดได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพื่อลดความเสี่ยงในการสร้างความเสียหายให้กับดวงตา

การวินิจฉัยอาการแสบตา

ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับ:

  • ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น
  • ระยะเวลา และ/หรืออาการที่รุนแรงขึ้น
  • ประวัติการบาดเจ็บบริเวณดวงตาหรือการใส่คอนแทคเลนส์ เนื่องจากแพทย์อาจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ เพิ่มเติม

แพทย์อาจวินิจฉัยอาการโดย:

  • ใช้กล้องจุลทรรศน์ตรวจตาชนิดลำแสงแคบ หรือ Slit Lamp ซึ่งช่วยขยายภาพหรือความผิดปกติที่จอประสาทตา
  • ใช้สารเรืองแสง (Fluorescent Dye) ก่อนการตรวจตาด้วยกล้อง Slit Lamp เพื่อให้มองเห็นบริเวณที่เกิดอาการได้ชัดเจนขึ้น
  • เก็บตัวอย่างขี้ตาหรือน้ำตาในการตรวจหาเชื้อเพิ่มเติม
  • ตรวจบริเวณเปลือกตา เยื่อบุตา กระจกตารวมถึงปฏิกิริยาในการตอบสนองต่อแสง ขนาดรูม่านตา การเคลื่อนไหวของดวงตา และความสามารถในการมองเห็น

การรักษาอาการแสบตา

การรักษาอาจแตกต่างกันไปตามสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยสามารถใช้วิธีการรักษาด้วยตนเองในเบื้องต้น หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

การรักษาด้วยตนเอง

  • ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
  • ประคบเย็นบนดวงตาเพื่อลดอาการคัน
  • ประคบร้อนบนดวงตาเพื่อลดการจับตัวกันเป็นก้อนของคราบน้ำเหลือง
  • ใช้สำลีจุ่มแชมพูเด็กเพื่อเช็ดทำความสะอาดคราบน้ำเหลืองบริเวณเปลือกตา
  • หยอดน้ำตาเทียมวันละ 4-6 ครั้งเพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง แสบ คัน และระคายเคือง
  • หากผู้ป่วยมีโรคภูมิแพ้ให้หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองจากต้นไม้ ขนสัตว์ และเครื่องสำอาง
  • ผู้ที่มีอาการตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบจากเชื้อไวรัส ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาข้างที่ไม่มีการอักเสบ เนื่องจากอาจทำให้การอักเสบลุกลามได้

การรักษาโดยการแพทย์

การรักษาอาการมักขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งแพทย์อาจใช้วิธีการต่าง ๆ ดังนี้

  • แพทย์อาจจ่ายยาต้านภูมิแพ้ (Antihistamine) ให้กับผู้มีอาการแพ้ร่วมด้วย
  • ยาหยอดตากลุ่มสารหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา (Lubricant) มักใช้เพื่อรักษาอาการตาแห้ง
  • การติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณดวงตามักรักษาด้วยยาหยอดตากลุ่มปฏิชีวินะ (Antibiotic) หรือแบบเม็ดสำหรับกรณีที่ไม่สามารถรักษาด้วยยาหยอดตาได้
  • ใช้ยาหยอดตากลุ่มต้านไวรัส (Antiviral) หรือขี้ผึ้งทาตาสำหรับการติดเชื้อจากไวรัส เช่น โรคเริม ส่วนใหญ่อาการติดเชื้อจากไวรัสมักบรรเทาได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์
  • ใช้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroid) เพื่อบรรเทาอาการอักเสบและคัน ทั้งยังรักษารอยแผลที่เกิดจากการติดเชื้อที่รุนแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้
  • กรณีมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัย

การปฏิบัติตามคำชี้แจงของแพทย์จะทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจหายเป็นปกติได้ในเวลา 1-2 สัปดาห์เว้นแต่ในกรณีที่มีอาการเรื้อรังหรือตาแห้งร่วมด้วย

การป้องกันอาการแสบตา

การป้องกันและรักษาดวงตาคือ วิธีการที่ช่วยไม่ให้เกิดปัญหาในการมองเห็นหรือการสูญเสียการมองเห็นได้ ซึ่งมีวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอหลังจากสัมผัสดวงตา
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งต่าง ๆ ร่วมกับผู้มีดวงตาติดเชื้อ เช่น ชุดเครื่องนอน คอนแทคเลนส์ แว่นตาหรือแว่นกันแดด ผ้าเช็ดตัว และแปรงแต่งหน้า เป็นต้น
  • หากมีการติดเชื้อ ควรล้างมือภายหลังการสัมผัสดวงตาที่ติดเชื้อ หรือบริเวณอื่น ๆ บนใบหน้าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
  • สวมแว่นนิรภัยหรือแว่นตาป้องกันขณะเล่นกีฬาหรือทำงานในบริเวณที่มีสารเคมีหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ
  • ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการแสบตา คัน น้ำตาไหล หรือมีขี้ตาผิดปกติ

สำหรับผู้ใส่คอนแทคเลนส์ ควรปฏิบัติตามวิธีการดังต่อไปนี้

  • ทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ล้างมือให้สะอาดก่อนใส่และถอดคอนแทคเลนส์
  • ไม่ควรไว้เล็บยาว เนื่องจากอาจขีดข่วนคอนแทคเลนส์ขณะใส่และถอดได้
  • ล้างตลับคอนแทคเลนส์ให้สะอาดภายหลังการใช้งานทุกครั้ง
  • ล้างคอนแทคเลนส์ด้วยสารละลายฆ่าเชื้อเป็นประจำทุกวัน
  • ไม่ใช้น้ำยาหยอดตาหรือน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์หมดอายุ
  • สำหรับคอนแทคเลนส์ชนิดใช้แล้วทิ้ง (Disposable Contact Lens) ให้ปฏิบัติตามวิธีการใช้งานหรือคำแนะนำจากแพทย์