เซมากลูไทด์ (Semaglutide)

เซมากลูไทด์ (Semaglutide)

Semaglutide (เซมากลูไทด์) เป็นยารักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 สำหรับผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ ตัวยาจะออกฤทธิ์ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ โดยแพทย์อาจให้ผู้ป่วยใช้ยา Semeglutide ร่วมกับการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย หรือยารักษาชนิดอื่น ๆ ตามที่เห็นสมควร  

เซมากลูไทด์ (Semaglutide)

เกี่ยวกับยา Semaglutide

กลุ่มยา ยาเบาหวาน (Antidiabetic Agents)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน ยาฉีด
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร ยังไม่มีการจัดหมวดหมู่ของยาชนิดนี้จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FDA ซึ่งยาอาจส่งผลกระทบต่อมารดาหรือทารกในครรภ์ได้ หากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ วางแผนจะมีบุตร หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยต่อทั้งตนเองและทารก

คำเตือนในการใช้ยา Semaglutide

เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา Semaglutide เพราะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายตามมาได้ 
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เพราะยานี้อาจส่งผลให้ร่างกายดูดซึมยาชนิดอื่นช้าลง ทำปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นจนก่อให้เกิดผลข้างเคียง หรือทำให้ยาชนิดอื่นมีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะยาเบาหวานชนิดอื่น เช่น อินซูลิน ยาดูลากลูไทด์ (Dulaglutide) ยาเอซีนาไทด์ (Exenatide) หรือยาลิรากลูไทด์ (Liraglutide) ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) และยาพาราเซตามอล
  • ผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพบางประการไม่ควรใช้ยานี้ เช่น ภาวะเลือดเป็นกรด โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เนื้องอกต่อมไร้ท่อชนิดที่ 2 ผู้ที่ตนเองหรือคนในครอบครัวมีประวัติโรคมะเร็งไทรอยด์ชนิดเมดัลลารี (Medullary Thyroid Cancer) 
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติทางสุขภาพควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้ยา เช่น โรคกระเพาะอาหารหรือลำไส้ โรคไต โรคตับ ตับอ่อนอักเสบ ปัญหาสายตาจากโรคเบาหวาน ภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรง รวมถึงมีสัญญาณของเนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์อย่างมีก้อนหรือบวมบริเวณคอ มีปัญหาในการกลืน เสียงแหบ และหายใจไม่อิ่ม
  • ห้ามสตรีมีครรภ์ ผู้วางแผนจะตั้งครรภ์ และผู้ให้นมบุตรใช้ยานี้ เนื่องจากตัวยาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์และทารกหลังคลอดได้ 
  • ผู้ป่วยอาจต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีต่าง ๆ ในระหว่างที่ใช้ยานี้ กรณีตั้งครรภ์ในระหว่างการใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบโดยเร็ว    
  • หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือการทำกิจกรรมที่ต้องรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ หากตัวยาส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือเวียนศีรษะ 
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยานี้ เพราะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
  • ไม่อนุญาตให้ใช้ยา Semaglutide ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 

ปริมาณการใช้ยา Semaglutide

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาอาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ รูปแบบของยา และดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยตัวอย่างการใช้ยาเซมากลูไทด์ เพื่อรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ป่วยผู้ใหญ่มีดังนี้

ยา Semaglutide ชนิดรับประทาน

ผู้ป่วยเริ่มรับประทานยาในปริมาณ 3 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนาน 1 เดือน จากนั้นเพิ่มปริมาณยาจนถึง 7 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนานอย่างน้อย 1 เดือน 

หากระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติอาจเพิ่มปริมาณยาสูงสุดได้ถึง 14 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง โดยควรเลือกใช้ยาขนาด 14 มิลลิกรัม 1 เม็ด แทนยาขนาด 7 มิลลิกรัม 2 เม็ด   

ยา Semaglutide ชนิดฉีด

ผู้ป่วยใช้ยาปริมาณ 0.25 มิลลิกรัมฉีดเข้าใต้ผิวหนัง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ จากนั้นเพิ่มปริมาณยาจนถึง 0.5 มิลลิกรัม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนานอย่างน้อย 4 สัปดาห์ 

หากระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติหลังเริ่มการรักษาไปแล้วอย่างน้อย 8 สัปดาห์ อาจเพิ่มปริมาณยาสูงสุดได้ถึง 1 มิลลิกรัม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หากจำเป็นต้องเปลี่ยนวันฉีดยาควรเว้นระยะห่างจากวันที่ฉีดยาล่าสุดอย่างน้อย 2–3 วัน   

การใช้ยา Semaglutide

วิธีการใช้ยา Semaglutide เพื่อความปลอดภัยมีดังนี้

  • การใช้ยา Semaglutide ควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่เหมาะสม หรือยาเบาหวานชนิดอื่นตามคำสั่งแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยไม่ควรปรับเพิ่มหรือลดปริมาณยาและระยะเวลาในการใช้ยาด้วยตนเอง
  • ห้ามใช้ยาเซมากลูไทด์หลายยี่ห้อในเวลาเดียวกัน
  • ยา Semaglutide ชนิดรับประทานควรรับประทานขณะท้องว่าง หรืออย่างน้อย 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร หรือก่อนรับประทานยาชนิดอื่น ๆ ห้ามบด เคี้ยว หรือหักยา แต่ให้กลืนยาลงไปทั้งเม็ดพร้อมดื่มน้ำตามประมาณครึ่งแก้วหรือ 120 มิลลิลิตร
  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ เนื่องจากยา Semaglutide อาจส่งผลให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียในระหว่างใช้ยา 
  • การรับประทานยา Semaglutide ร่วมกับยาเบาหวานชนิดอื่น อาจเพิ่มความเสี่ยงของระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้มีอาการเวียนศีรษะ มือสั่น อยากอาหาร อ่อนเพลีย หรือสับสนได้ หากพบสัญญาณอาการดังกล่าว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหรือดูแลตัวเองเบื้องต้นตามคำแนะนำของแพทย์
  • ยา Semaglutide ชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังจะใช้ในเวลาใดก็ได้ พร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ โดยให้ฉีดบริเวณต้นขา หน้าท้อง ต้นแขน หรือบริเวณที่แพทย์แนะนำ และไม่ควรนำยาไปใช้หากพบว่ายามีตะกอน มีลักษณะขุ่น มีสีที่เปลี่ยนไป หรือเป็นน้ำแข็ง 
  • ห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และควรเปลี่ยนเข็มทุกครั้งที่ฉีดยา เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อโรค
  • ผู้ป่วยควรรับประทานยาหรือฉีดยาในเวลาเดียวกันของแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ และใช้ยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด  
  • ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการและดูการตอบสนองต่อยา โดยแพทย์อาจตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับคอเลสเตอรอล ค่าการทำงานของตับ และอื่น ๆ 
  • หากลืมใช้ยาชนิดรับประทาน ให้ข้ามไปใช้ยาตามเวลาปกติ สำหรับยาชนิดฉีด หากผู้ป่วยลืมใช้ยาไม่เกิน 5 วัน ให้ฉีดยาทันทีที่นึกขึ้นได ้และให้ฉีดยารอบถัดไปตามเวลาปกติ หากลืมมากกว่า 5 วันให้ข้ามไปฉีดยาตามเวลาปกติในสัปดาห์ถัดไป โดยห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า
  • หากผู้ป่วยใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนดแล้วพบอาการผิดปกติใด ๆ ที่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • เก็บยาชนิดรับประทานไว้ที่อุณหภูมิห้อง ส่วนยาชนิดฉีดควรเก็บยาในตู้เย็น ห้ามแช่ช่องแข็ง โดยเก็บให้ห่างจากความร้อน แสงแดด รวมถึงห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง  

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Semaglutide

ยา Semaglutide อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น น้ำตาลในเลือดต่ำ ท้องไส้ปั่นป่วน อาหารไม่ย่อย แสบร้อนกลางอก มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไม่อยากอาหาร ท้องเสีย ท้องผูก ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ หรือเหนื่อยล้า ในกรณีที่อาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือทวีความรุนแรงขึ้นควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากพบอาการต่อไปนี้ 

  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป มองเห็นเป็นภาพเบลอ 
  • อารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ มีความคิดทำร้ายตนเอง
  • เวียนศีรษะคล้ายจะหมดสติ
  • มีสัญญาณของเนื้องอกต่อมไทรอยด์ เช่น เสียงแหบ มีก้อนหรือบวมบริเวณคอ มีปัญหาในการกลืน หรือหายใจไม่อิ่ม
  • มีอาการของตับอ่อนอักเสบ เช่น ปวดท้องส่วนบนอย่างรุนแรง และอาจปวดร้าวไปยังแผ่นหลัง มีอาการคลื่นไส้โดยอาจมีการอาเจียนร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ และหัวใจเต้นเร็ว
  • มีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี ทำให้มีอาการ เช่น ปวดท้องส่วนบน มีไข้ อุจจาระสีเหมือนโคลน และตัวเหลือง ตาเหลือง  
  • มีปัญหาเกี่ยวกับไต ทำให้มีอาการ เช่น อาการบวม ปัสสาวะน้อยลง รู้สึกเหนื่อย หรือหายใจไม่อิ่ม
  • มีสัญญาณของไวรัสลงกระเพาะ เช่น ปวดเกร็งท้อง อาเจียน ไม่อยากอาหาร ท้องเสียเป็นน้ำหรืออาจปนเลือด 
  • มีสัญญาณของการแพ้ยา เช่น ลมพิษ คัน เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว หายใจลำบาก อาการบวมบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ