เจ็บท้องข้างขวา ปวดท้องข้างขวา รู้จัก 8 โรคที่อาจเป็นสาเหตุ

เจ็บท้องข้างขวา คืออาการเจ็บหรือปวดบริเวณท้องฝั่งด้านขวา ซึ่งในบริเวณนั้นมีอวัยวะที่เกี่ยวข้องหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ตับอ่อน ถุงน้ำดี ลำไส้ ไปจนถึงไส้ติ่ง การเจ็บท้องข้างขวาจึงสามารถเกิดได้จากโรคหรือภาวะผิดปกติหลายชนิด เช่น นิ่วในถุงน้ำดี ไส้ติ่งอักเสบ ไตติดเชื้อ

อาการปวดท้อง หรือเจ็บท้องถือเป็นอาการที่พบได้บ่อย ซึ่งในบางครั้งอาจเป็นที่ไม่รุนแรงและสามารถบรรเทาด้วยการดูแลตัวเองได้ แต่ในบางครั้งอาการปวดหรือเจ็บท้องอาจเป็นสัญญาณถึงโรคหรือภาวะผิดปกติที่รุนแรงและควรได้รับการตรวจและการรักษาจากแพทย์ ผู้ที่มีอาการปวดท้องหรือเจ็บท้องจึงไม่ควรนิ่งนอนใจและสังเกตตนเอง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสุขภาพ

เจ็บท้องข้างขวา สาเหตุที่เป็นไปได้และสัญญาณที่ควรไปพบแพทย์

รู้จักสาเหตุของอาการเจ็บท้องข้างขวา

เนื่องจากบริเวณท้องด้านขวามีความเกี่ยวข้องกับอวัยวะหลายส่วน อาการเจ็บท้องข้างขวาจึงอาจเกี่ยวข้องกับหลายโรคหรือภาวะผิดปกติทางร่างกายได้หลายประการ ซึ่งแต่ละสาเหตุก็จะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกันไป เช่น 

1. นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones)

นิ่วในถุงน้ำดีเป็นโรคที่ส่งผลให้ผู้ที่ป่วยมักพบอาการเจ็บท้องด้านขวาส่วนบน โดยนอกจากอาการเจ็บท้องข้างขวาแล้ว ผู้ป่วยนิ่วในถุงน้ำดียังอาจพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหลังบริเวณระหว่างสะบัก และปวดบริเวณไหล่ด้านขวา

ผู้ที่เห็นว่าตนเองมีอาการเข้าข่ายโรคนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่เหมาะสม หากรู้สึกว่าอาการเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อพบอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย ได้แก่ ปวดท้องรุนแรง มีไข้สูง หนาวสั่น และผิวหนังหรือดวงตามีสีออกเหลือง

2. ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)

อาการเจ็บท้องด้านขวาล่างอาจเป็นสัญญาณของภาวะไส้ติ่งอักเสบได้ โดยอาการของภาวะนี้มักเริ่มจากอาการปวดท้องส่วนบน หรือบริเวณใกล้ ๆ สะดือก่อน จากนั้นอาการปวดจะเริ่มเปลี่ยนไปเป็นบริเวณท้องด้านขวาส่วนล่าง ซึ่งจะยิ่งรุนแรงขึ้นขณะขยับตัวและหายใจ รวมถึงมักเกิดอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น

  • ท้องบวม
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ท้องเสียหรือท้องผูก
  • เบื่ออาหาร
  • มีไข้

ภาวะไส้ติ่งอักเสบเป็นภาวะอันตรายที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที เนื่องจากหากไส้ติ่งแตก ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรือเสียชีวิตได้

3. ภาวะไตติดเชื้อ

ภาวะไตติดเชื้อมักทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บท้องข้างขวา นอกจากนั้น ยังอาจพบอาการอื่นด้วย เช่น ปวดหลังส่วนล่าง อาการปวดขาหนีบ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ ปัสสาวะส่งกลิ่นเหม็นผิดปกติ หรือปัสสาวะมีเลือดปน

หากมีอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจให้แน่ชัด เนื่องจากภาวะไตติดเชื้ออาจส่งผลให้ไตเกิดความเสียหายอย่างถาวร รวมถึงอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมา หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ

4. ภาวะตับอักเสบ (Hepatitis)

ผู้ป่วยภาวะตับอักเสบมักพบอาการเจ็บท้องข้างขวาร่วมกับอาการอ่อนเพลีย ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด เบื่ออาหาร น้ำหนักลดผิดปกติ และดวงตาหรือผิวหนังมีสีออกเหลือง ผู้ที่ป่วยด้วยภาวะนี้ควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจากแพทย์ ดังนั้น หากมีอาการที่เข้าข่ายลักษณะข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา

5. โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)

โรคลำไส้แปรปรวนนอกจากจะมีอาการเจ็บท้องข้างขวาแล้ว ผู้ป่วยยังอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องผูก หรือท้องเสีย ซึ่งผู้ที่มีอาการในลักษณะนี้ควรไปพบแพทย์ หากพบว่าอาการไม่ดีขึ้นใน 2–3 วัน หรืออาการกลับมาเกิดซ้ำ ๆ 

และหากเริ่มเกิดอาการที่มีความรุนแรง เช่น มีเลือดไหลจากทวารหนัก น้ำหนักลดผิดปกติ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาการปวดท้องไม่ดีขึ้นแม้จะอุจจาระไปแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติที่รุนแรงได้

6. ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)

ภาวะตับอ่อนอักเสบนอกจากจะทำให้มีอาการเจ็บท้องข้างขวาแล้ว ก็อาจมีอาการอื่น ๆ ด้วย เช่น อาการปวดท้องที่ลุกลามไปยังบริเวณหลัง หัวใจเต้นถี่ มีไข้ คลื่นไส้ และอาเจียน ซึ่งผู้ป่วยควรไปรับการตรวจที่เหมาะสมหากพบอาการที่เข้าข่าย โดยเฉพาะในกรณีที่อาการปวดท้องรุนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ

7. ไส้เลื่อน (Hernia)

อาการเด่น ๆ ของผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนคือ มักพบตุ่มหรือก้อนเนื้อที่ยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัดขณะอยู่ในท่าทางใดท่าทางหนึ่ง เช่น ขณะไอ หรือยกของหนัก โดยอาจมีอาการปวดร่วมด้วย และจะหุบกลับเข้าไปเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทาง ผู้ที่เห็นว่าตนเองอาจมีภาวะนี้อยู่ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา โดยเฉพาะหากพบว่าบริเวณก้อนเนื้อที่ยื่นออกมาเกิดอาการชา มีสีเปลี่ยนไป หรือพบว่ามีไข้ คลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย

8. โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis)

โดยผู้ป่วยในกลุ่มโรคถุงผนังลำไส้อักเสบจะมักพบอาการเจ็บท้องข้างขวา หรือในบางกรณีอาจเป็นข้างซ้าย ร่วมกับอาการมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก หรือบางคนอาจมีอาการท้องเสีย ซึ่งผู้ที่มีอาการเข้าข่ายในลักษณะนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่เหมาะสม

สุดท้ายนี้ โรคที่ได้ยกตัวอย่างไปในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งที่มักพบได้ของอาการเจ็บท้องข้างขวาเท่านั้น ซึ่งยังมีโรคหรือภาวะผิดปกติอื่นอีกหลายชนิดที่อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน เช่น ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือภาวะท้องนอกมดลูกของผู้หญิง

ดังนั้น ผู้ที่มีอาการเจ็บท้องข้างขวาที่เห็นว่าอาการเริ่มมีความผิดปกติ เช่น อาการไม่ดีขึ้นใน 2–3 วัน หรืออาการเริ่มแย่ลง ผู้ป่วยก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่อาจเกิดตามมาได้