มีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง ข้อควรรู้เพื่อความปลอดภัยของแม่และเด็ก

การมีเพศสัมพันธ์ตอนท้องเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต่างตั้งข้อสงสัยว่าสามารถทำได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างตั้งครรภ์นั้นสามารถทำได้ แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งต่อตัวคุณแม่เอง และต่อทารกในครรภ์

การมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง อาจช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างครอบครัวในขณะตั้งครรภ์ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความปกติของครรภ์ว่าสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ รวมถึงควรทำความเข้าใจท่าในการร่วมเพศที่เหมาะสม และข้อควรระวังต่าง ๆ ด้วย เพื่อให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ในขณะตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย 

มีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง

สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง

สิ่งที่หลายคนมักกังวลหรือสงสัยเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ตอนท้องนั้นมีหลายประการ เช่น ความปลอดภัยของทารกในครรภ์ ผลกระทบต่อแรงขับทางเพศ รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดภาวะแท้งหรือการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งมีรายละเอียดที่ควรทราบดังนี้

1. ความปลอดภัยของทารกในครรภ์

การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์นั้นมีความปลอดภัยทั้งต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ เพราะถุงน้ำคร่ำในมดลูกจะช่วยปกป้องทารก เมือกสีขาวที่อยู่บริเวณปากมดลูกจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ และอวัยวะเพศชายที่สอดใส่เข้าไปเมื่อร่วมเพศจะอยู่แค่บริเวณช่องคลอด ไม่ได้เข้าไปลึกจนถูกตัวทารก

ดังนั้น หากแพทย์ไม่ได้แนะนำให้เลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ก็สามารถทำได้ภายในขอบเขตที่กำหนด แต่แพทย์จะแนะนำให้หยุดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของอายุครรภ์ เพราะอสุจิมีสารเคมีที่อาจกระตุ้นให้มดลูกเกิดการหดตัวได้

2. ความเสี่ยงในการเกิดภาวะแท้ง

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีสุขภาพครรภ์ปกติหรือมีความเสี่ยงต่ำ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่ทำให้เกิดภาวะแท้ง เพราะภาวะแท้งจะเกิดขึ้นในกรณีที่ทารกในครรภ์ไม่เจริญเติบโตตามปกติ และการถึงจุดสุดยอดก็ไม่สามารถทำให้เกิดการแท้งได้ เพราะอาการมดลูกหดตัวเมื่อถึงจุดสุดยอดนั้นจะแตกต่างจากอาการมดลูกหดตัวตอนใกล้คลอด โดยจะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะและไม่เป็นอันตรายใด ๆ 

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ตั้งครรภ์ควรตรวจสุขภาพครรภ์อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าสุขภาพครรภ์ของตนเองอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือมีความเสี่ยงต่ำจริง ๆ

3. ความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด

แม้ว่าการถึงจุดสุดยอดและสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่ในอสุจิจะสามารถกระตุ้นให้มดลูกเกิดอาการหดตัวได้ แต่งานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าการมีเพศสัมพันธ์ตอนท้องไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด อย่างไรก็ตาม แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างตั้งครรภ์

4. การส่งผลกระทบต่อแรงขับทางเพศ

การมีเพศสัมพันธ์ตอนท้องอาจทำให้รู้สึกพึงพอใจมากขึ้นในบางราย เพราะการตั้งครรภ์ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงที่อุ้งเชิงกรานมากขึ้น ช่องคลอดมีความชุ่มชื้นมากขึ้น เต้านมคัดตึงและไวต่อความรู้สึก ซึ่งอาการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ แต่ในบางรายก็อาจรู้สึกไม่พึงพอใจ เพราะรู้สึกไม่สบายตัวหรืออาจมีอาการปวดบีบอ่อน ๆ เมื่อสอดใส่อวัยวะเพศหรือเมื่อถึงจุดสุดยอด

โดยปกติ ผู้ที่ตั้งครรภ์อาจมีความต้องการทางเพศน้อยลงในช่วงเดือนแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากระดับฮอร์โมนแปรปรวน อ่อนเพลีย และคลื่นไส้ ก่อนจะกลับมามีความต้องการทางเพศมากขึ้นเมื่ออาการแพ้ท้องในช่วงแรกหายไป แต่แรงขับทางเพศอาจลดลงอีกครั้งเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น เนื่องจากมีน้ำหนักตัวเยอะขึ้น รู้สึกไม่สบายตัว และเหนื่อยเมื่อต้องมีเพศสัมพันธ์ 

นอกจากนี้ ความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับภาระหน้าที่และสุขภาพของทารกในครรภ์ ก็อาจส่งผลให้แรงขับทางเพศของคุณแม่ตั้งครรภ์ลดลงได้เช่นกัน

ท่าร่วมเพศที่เหมาะสมเมื่อมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง

หากต้องการมีเพศสัมพันธ์ในขณะตั้งครรภ์ ควรหาท่าร่วมเพศที่รองรับการสอดใส่ และไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องร่วมเพศ โดยอาจร่วมเพศในท่าที่ให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ขึ้นคร่อมบนตัวฝ่ายชายแทน หรืออาจให้ฝ่ายชายสอดใส่โดยการนอนหันหน้าเข้าหากันหรือหันหลังให้อีกฝ่ายก็ได้

ทั้งนี้ ท่ามิชชันนารี (Missionary) หรือท่าที่ให้ฝ่ายชายคร่อมบนตัวฝ่ายหญิง อาจทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์รู้สึกไม่สบายตัว หากต้องการร่วมเพศในท่านี้ ผู้ที่ตั้งครรภ์ควรนำหมอนมารองหลังเพื่อไม่ให้ตัวเองนอนราบจนเกินไป ส่วนฝ่ายชายจะต้องไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงมาที่ท้องของฝ่ายหญิงด้วย 

ส่วนการมีเพศสัมพันธ์หลังคลอดต้องรอประมาณ 4–6 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อให้ร่างกายพักฟื้นให้ปากมดลูกปิด ไม่มีเลือดออกหลังคลอด และรอยแผลจากการฉีกขาดหายดี ซึ่งเมื่อร่างกายพักฟื้นเต็มที่แล้วก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ควรร่วมเพศกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรง และคุมกำเนิดทุกครั้งจนกว่าจะพร้อมตั้งครรภ์ครั้งต่อไป

อาการที่ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตอนท้องเมื่อเกิดอาการดังนี้

  • มีเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะอาจมีสาเหตุมาจากภาวะรกเกาะต่ำหรือการเกิดก้อนเลือดที่รก ซึ่งจะมีความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกมากกว่าเดิม
  • มีภาวะถุงน้ำคร่ำแตก เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น
  • ปากมดลูกเปิดก่อนกำหนด หรือเกิดภาวะปากมดลูกปิดไม่สนิท (Cervical Incompetance) เพราะภาวะนี้จะทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์เสี่ยงแท้งหรือคลอดก่อนกำหนด
  • รกปิดปากมดลูกบางส่วนหรือปิดทั้งหมด หรือเรียกว่าภาวะรกเกาะต่ำ(Placenta Previa)
  • มีประวัติเคยคลอดก่อนกำหนด รวมถึงผู้ที่มีความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดด้วย
  • มีประวัติเคยแท้งเอง
  • ตั้งครรภ์ลูกแฝดหรือมากกว่านั้น

ข้อควรระวังเมื่อมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง

ผู้ตั้งครรภ์ที่มีเพศสัมพันธ์ตอนท้องควรระมัดระวังพฤติกรรมบางอย่างขณะร่วมเพศซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ รวมทั้งหมั่นสังเกตอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะร่วมเพศด้วย โดยข้อควรระวังเมื่อมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง มีดังนี้

  • ไม่ยินยอมให้คู่นอนเป่าลมที่บริเวณอวัยวะเพศในกรณีที่ทำออรัลเซ็กส์ให้ เนื่องจากลมที่เป่าเข้าไปในช่องคลอดนั้นจะทำให้เกิดกลุ่มฟองอากาศในการหมุนเวียนเลือดของร่างกาย ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อผู้ที่ตั้งครรภ์และต่อทารกในครรภ์
  • หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้อเริมที่ปากหรือหรือมีความเสี่ยงในการติดเชื้อดังกล่าว ไม่ควรทำออรัลเซ็กส์ให้คู่นอน หรือหากเคยมีประวัติเป็นโรคเริมที่ปาก ก็ควรหลีกเลี่ยงการทำออรัลเซ็กส์เช่นกัน
  • ควรบอกคู่นอนให้ทราบเมื่อรู้สึกไม่สบายตัวระหว่างร่วมเพศ ทั้งนี้ หากยังมีอารมณ์ทางเพศอยู่แต่ไม่ต้องการให้สอดใส่อาจใช้วิธีอื่น เช่น การทำออรัลเซ็กส์ หรือการช่วยตัวเอง 
  • ผู้ตั้งครรภ์ที่เกิดอาการปวดบีบเมื่อสอดใส่หรือถึงจุดสุดยอด โดยอาการนั้นไม่หายไปเอง หรือรู้สึกเจ็บ มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ควรไปพบแพทย์ทันที
  • ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ในขณะตั้งครรภ์หรือความปลอดภัยของทารกในครรภ์ เพื่อให้เกิดเข้าใจที่ถูกต้องทั้งตัวผู้ที่ตั้งครรภ์เองและตัวคู่นอน
  • หากแพทย์แนะนำให้งดมีเพศสัมพันธ์ในขณะตั้งครรภ์ ควรถามแพทย์ให้เข้าใจว่าควรเลี่ยงการสอดใส่ หรือการถึงจุดสุดยอดอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหมายรวมถึงทั้งการสอดใส่และถึงจุดยอด

วิธีป้องกันการติดเชื้อเมื่อมีเพศสัมพันธ์ตอนท้อง

ผู้ที่ตั้งครรภ์ควรปฏิบัติตัวระหว่างมีเพศสัมพันธ์ในขณะตั้งครรภ์เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ ดังนี้

  • งดเว้นจากการสอดใส่เมื่อต้องมีเพศสัมพันธ์
  • ใช้ถุงยางอนามัยชนิดที่ผลิตจากยาง (Latex) หรือถุงยางอนามัยที่ผลิตจากสารสังเคราะห์(Polyurethane) โดยต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่ทำออรัลเซ็กส์ควรใช้แผ่นยางอนามัย (Dental Dam) สำหรับป้องกันการติดเชื้อทุกครั้ง
  • ผู้ตั้งครรภ์ที่มีริดสีดวงทวารไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เนื่องจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว รวมถึงการร่วมเพศทางทวารหนักแล้วมาสอดใส่ที่ช่องคลอด เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจากลำไส้ตรงแพร่มายังช่องคลอดได้

การมีเพศสัมพันธ์ตอนท้องอย่างเหมาะสมและถูกวิธี ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดความปลอดภัยต่อตัวคุณแม่และต่อทารกในครรภ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างคุณแม่และคุณพ่ออีกด้วย อย่างไรก็ตาม ควรหมั่นสังเกตุความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับทารกในครรภ์อยู่เสมอ และไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เพื่อรับการตรวจครรภ์อย่างเหมาะสม