Beta Blockers (เบต้า บล็อกเกอร์)

Beta Blockers (เบต้า บล็อกเกอร์)

Beta Blockers (เบต้า บล็อกเกอร์) หรือ Beta Adrenergic Blocking Agents เป็นกลุ่มยาที่ใช้รักษาภาวะหรือโรคหลายชนิด เช่น รักษาความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติบางชนิด โรคต้อหิน โรควิตกกังวล ป้องกันอาการเจ็บหน้าอกและปวดศีรษะไมเกรน ลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายซ้ำอีก ช่วยบรรเทาอาการภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน เป็นต้น

Beta Blockers

ยา Beta Blockers จะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) และอิพิเนฟริน (Epinephrine) หรือที่รู้จักกันในชื่ออะดรีนาลีนที่หลั่งจากเส้นประสาททั่วร่างกายและต่อมหมวกไต เพื่อไม่ให้สารสื่อประสาทเหล่านี้ไปจับกับตัวรับเบต้า หรือเบต้า รีเซ็ปเตอร์ บนเส้นประสาทของอวัยวะต่าง ๆ ตามร่างกาย ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานและการควบคุมอวัยวะนั้น ๆ  

โดยตัวรับเบต้า แบ่งได้ 3 ชนิด ตามตําแหน่งในการออกฤทธิ์ ได้แก่

  • ตัวรับเบต้า 1 อยู่ที่ตา หัวใจ และไต
  • ตัวรับเบต้า 2 อยู่ที่ปอด ตับ มดลูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ เส้นเลือด และกล้ามเนื้อลาย
  • ตัวรับเบต้า 3 อยู่ที่เซลล์ไขมัน

Beta Blockers เป็นกลุ่มยาที่มีอยู่หลายประเภทและต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

กลุ่ม Non-Selective Beta Blockers เป็นยาปิดกั้นการทำงานของตัวรับเบต้า 1 และ 2 ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ หลอดเลือด และระบบทางเดินหายใจ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ยาโพรพราโนลอล

กลุ่ม Selective Beta Blockers จะปิดกั้นการทำงานของตัวรับเบต้า 1 เป็นหลัก โดยออกฤทธิ์ต่อการทำงานของหัวใจ แต่ไม่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ยาเมโทโพรลอล

กลุ่ม Beta-Blockers with Intrinsic Sympathomimetic Activity (ISA) ออกฤทธิ์ทั้งยับยั้งและกระตุ้นตัวรับเบต้า จึงส่งผลให้ความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ยาพินโดลอล

กลุ่มยาลาเบทาลอล และยาคาร์วีดิลอล จะปิดกั้นการทำงานของตัวรับเบต้าและอัลฟ่า 1 ซึ่งเป็นตัวรับอีกชนิดบนเส้นประสาท ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวขึ้น

คำเตือนในการใช้ยา Beta Blockers

ยา Beta Blockers แต่ละประเภทล้วนมีข้อบ่งชี้ ข้อควรระวังในการใช้ยา และส่วนประกอบในยาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงอาการป่วยในปัจจุบัน ประวัติทางการแพทย์ และประวัติการแพ้ยาต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาวิธีการใช้ยาและคำเตือนบนฉลากให้ดีก่อนใช้ยาเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา

ตัวอย่างข้อควรระวังในการใช้ยา Beta Blockers ได้แก่

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยา อาหาร สมุนไพร หรือสารใด ๆ เพราะยาอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
  • ผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำหรือกำลังใช้ยาตัวใดอยู่ในขณะนั้น ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาต้านเศร้า ยารักษาโรคเบาหวาน ยารักษาโรคหืด ยารักษาโรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง ยารักษาโรคถุงลมโป่งพอง ยารักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ยาลดกรดที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม ยาแก้ไอ ยาแก้หวัด หรือยาแก้แพ้ชนิดต่าง ๆ ที่ซื้อได้เองทั่วไป และหากกำลังรับการฉีดสารก่อภูมิแพ้เพื่อรักษาภูมิแพ้อยู่
  • หากมีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาทุกครั้งและใช้ยาด้วยความระมัดระวังเสมอ เพราะยานี้อาจส่งผลกระทบต่ออาการป่วยที่เป็นอยู่ หรืออาจทำให้ประสิทธิภาพของยารักษาโรคบางชนิดลดลง โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยด้วยโรคหืด โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นประจำ ภาวะหัวใจเต้นช้า เป็นต้น
  • ยา Beta Blockers อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรือทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงเมื่อใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น เช่น ยารักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด ยาระงับอาการทางจิตบางชนิด ยาลดความดันโลหิต ยาโคลนิดีน ยา NSAIDs เป็นต้น
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากกำลังตั้งครรภ์ วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพื่อปรึกษาถึงประโยชน์และความเสี่ยงในการใช้ยาชนิดนี้ เพราะยา Beta Blockers บางชนิดอาจเป็นอันตรายต่อทารกและมารดาได้
  • ผู้สูงอายุควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา และใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นวัยที่มักเกิดผลข้างเคียงได้ง่ายกว่าช่วงวัยอื่น
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนขณะใช้ยา เพราะอาจขัดขวางการออกฤทธิ์ของยาจนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของยาลดลง
  • หลีกเลี่ยงการขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย เพราะยาอาจทำให้ผู้ใช้มีอาการเวียนศีรษะหรือง่วงซึมได้

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Beta Blockers

ยา Beta Blockers แต่ละกลุ่มมีส่วนประกอบไม่เหมือนกัน ทำให้อาการข้างเคียงจากการใช้ยาแตกต่างกันออกไป ผู้ป่วยควรสังเกตอาการที่เกิดขึ้นหลังการใช้ยา เมื่อพบอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร หากอาการเหล่านั้นยังคงเป็นอย่างต่อเนื่องหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาทันที

ตัวอย่างผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการใช้ยา Beta Blockers ได้แก่

  • ปวดศีรษะ
  • วิงเวียนศีรษะ
  • ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
  • ดวงตา ปาก และผิวหนังแห้ง
  • อ่อนเพลีย
  • มือเท้าเย็น
  • คลื่นไส้
  • ท้องเสีย หรือท้องผูก
  • หัวใจเต้นช้า

ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่พบได้น้อย ได้แก่ นอนไม่หลับ อารมณ์ทางเพศลดลง หย่อนสมรรถภาพ หายใจหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีดหรือมีปัญหาในการหายใจ แขนขาบวม ปวดตามข้อและหลัง รู้สึกสับสน มึนงง ซึมเศร้า หรือสูญเสียความจำ เป็นต้น