ไมเกรน (Migraines)

ความหมาย ไมเกรน (Migraines)

ไมเกรน (Migraines) เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงชนิดหนึ่ง โดยจะรู้สึกปวดตุบ ๆ รุนแรง มักปวดบริเวณศีรษะข้างเดียว หรือปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดสองข้าง และมักมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย รวมทั้งอาจมีความรู้สึกไวต่อเสียงและแสงสว่างมากกว่าปกติ  

ไมเกรน

อาการของไมเกรน

ไมเกรนมักจะเกิดในวัยเด็ก วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ระยะแรก โดยจะแบ่งอาการเป็น 4 ขั้น ได้แก่ ระยะอาการบอกเหตุ (Prodrome) ระยะอาการเตือน (Aura) ระยะปวดศีรษะ (Headache) และระยะหลังจากปวดศีรษะ (Postdrome) ซึ่งผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการในทุกขั้นก็ได้

1. ระยะอาการบอกเหตุ (Prodrome) 

ผู้ป่วยอาจพบว่ามีอาการบอกเหตุหรือสัญญาณเตือนของการเป็นไมเกรนในช่วง 12 วันก่อนเป็นไมเกรน ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ตั้งแต่ภาวะซึมเศร้า (Depression) ไปจนถึงภาวะเคลิ้มสุข (Euphoria)
  • ความอยากอาหารบางอย่างเป็นพิเศษ
  • มีอาการปวดตึงคอ
  • กระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อยขึ้น
  • หาวบ่อย
  • ท้องผูก

2. ระยะอาการเตือน (Aura)

ระยะอาการเตือนคืออาการที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนหรือพร้อมกับการปวดไมเกรน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะเป็นไมเกรนแบบไม่มีอาการเตือน ซึ่งการเตือนนี้มักค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และอาจเกิดอาการต่อเนื่องเป็นชั่วโมง 

อาการเตือนสามารถเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น ตาพร่ามัว มองเห็นแสงกะพริบ ๆ มองเห็นภาพเป็นรูปทรงต่าง ๆ ผิดขนาด มองเห็นจุดแสงวาบ เห็นแสงซิกแซก หรือเห็นเป็นเส้นคลื่น นอกจากนั้น อาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะที่รับความรู้สึก (ประสาทสัมผัส) การเคลื่อนไหว หรือการพูด เช่น พูดลำบาก รู้สึกคล้ายกล้ามเนื้ออ่อนแรง รู้สึกเหมือนมีใครกำลังสัมผัสตัวอยู่ หรือรู้สึกชาที่มือหรือเท้า 

ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ เริ่มเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาที และจะยังคงมีความรู้สึกนี้อย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมง หรืออาจเป็นต่อเนื่องหลายชั่วโมงก็ได้หากมีหลายอาการ

3. ระยะที่เกิดอาการปวดศีรษะ (Headache) 

ในขณะที่ปวดไมเกรน ผู้ป่วยอาจพบว่ามีอาการดังต่อไปนี้

  • มีอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง
  • มีอาการปวดแบบตุบ ๆ
  • มีความรู้สึกไวต่อแสงจ้า เสียงดัง และกลิ่นฉุน ซึ่งจะกระตุ้นให้รู้สึกปวดมากขึ้น
  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
  • ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด
  • มีอาการวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเป็นลม

4. ระยะที่หายจากการปวดศีรษะ (Postdrome) 

เป็นระยะสุดท้ายของไมเกรน โดยจะเกิดหลังจากการเกิดไมเกรนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ป่วยอาจพบว่ามีอาการ ดังนี้

  • มีอาการสับสบ มึนงง
  • มีอารมณ์หงุดหงิด
  • เวียนศีรษะ
  • อ่อนล้า อ่อนแรง
  • มีความรู้สึกไวต่อแสงและเสียง

หากอาการปวดไมเกรนมีความรุนแรงมาก โดยที่ไม่สามารถจัดการหรือควบคุมอาการได้ด้วยยาแก้ปวด ให้จดจำหรือบันทึกอาการของไมเกรนที่เกิดขึ้้นและวิธีที่ใช้รักษา แล้วไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาต่อไป โดยหากพบว่ามีอาการหรือสัญญาณของไมเกรนดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์

  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน
  • ปวดศีรษะพร้อมกับมีไข้ ปวดเมื่อยคอ สับสนมึนงง มีอาการชัก มองเห็นภาพซ้อน หรือรู้สึกอ่อนแรง
  • มีความรู้สึกชา หรือพูดติดขัดอย่างชัดเจน
  • มีอาการปวดศีรษะรุนแรงมาก หลังจากได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ
  • มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่เป็นมากขึ้นเวลาไอ เวลาออกแรงมาก หรือเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถเร็วเกินไป
  • มีอาการปวดศีรษะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 50 ปี

สาเหตุของไมเกรน

ไมเกรนเป็นผลจากความผิดปกติชั่วคราวในการทำงานของสมองที่มีผลกระทบต่อเส้นประสาท สารเคมี และหลอดเลือดในสมอง แต่สาเหตุที่แท้จริงของไมเกรนนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งอาจเกิดได้จากปัจจัยหลายประการที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดไมเกรน ดังนี้ 

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ผู้ป่วยเพศหญิงอาจเป็นไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือน (Menstrual Migraine) ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย เช่น เอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง โดยไมเกรนชนิดนี้มักเกิดในช่วง 2 วันก่อนมีประจำเดือน ไปจนถึงวันที่ 3 ของการมีประจำเดือน ในบางรายพบว่าเป็นไมเกรนเฉพาะช่วงเวลานี้เท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเพศหญิงบางรายอาจพบว่าเป็นไมเกรนในช่วงเวลาอื่่นนอกจากช่วงเป็นประจำเดือนได้เช่นกัน และบางรายก็พบอาการไมเกรนหลังวัยหมดประจำเดือน (Menopause) ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อันส่งผลต่ออารมณ์และร่างกาย และสามารถกระตุ้นไมเกรนได้ หรืออาจทำให้เกิดอาการที่รุนแรงได้ในบางราย ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้

ตัวกระตุ้นที่เกี่ยวกับอารมณ์

  • ความเครียด  
  • ความวิตกกังวล
  • อาการตกใจ หรือช็อก
  • ภาวะซึมเศร้า
  • ความตื่นเต้น

ตัวกระตุ้นทางกายภาพ

  • ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
  • นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • การทำงานเป็นกะ
  • อาการตึงที่คอหรือไหล่
  • อาการอ่อนเพลียจากการเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นเวลานาน (Jet Lag)
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
  • การออกกำลังกายที่ต้องใช้พละกำลังมาก

ตัวกระตุ้นเกี่ยวกับอาหาร

  • การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
  • ภาวะขาดน้ำ 
  • การดื่มแอลกอฮอล์
  • อาหารที่มีสารไทรามีน (Tyramine) ซึ่งเป็นส่วนประกอบธรรมชาติของอาหาร เช่น เนยแข็ง
  • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา หรือกาแฟ
  • อาหารบางประเภท เช่น ช็อกโกแลต ผลไม้ตระกูลส้ม ชีส 

ตัวกระตุ้นที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม

  • แสง เช่น แสงสว่างจ้า แสงจากจอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์
  • การสูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่ โดยเฉพาะในห้องแบบปิด
  • เสียงดัง
  • สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น ความชื้น อุณหภูมิที่เย็นจัด อากาศร้อนอบอ้าว
  • กลิ่นที่รุนแรง

การใช้ยารักษาโรค

  • การใช้ยานอนหลับบางชนิด
  • การใช้ยาคุมกำเนิด 
  • การใช้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) ในสตรีวัยหมดประจำเดือน

โดยปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรนเหล่านี้อาจเกิดขึ้นและส่งผลต่อแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ผู้ที่ปวดไมเกรนบ่อย ๆ จึงควรสังเกตตนเองและคอยจดบันทึกเพื่อเป็นข้อมูลในการไปปรึกษาแพทย์

การวินิจฉัยไมเกรน

หากผู้ป่วยเป็นไมเกรนหรือมีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นไมเกรน แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยสอบถามถึงประวัติและอาการที่เกิดขึ้น รวมทั้งทำการตรวจร่างกายและตรวจเกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเพียงเท่านี้ก็ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้

แพทย์อาจแนะนำการตรวจอื่น ๆ เพื่อจำกัดวงของสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวด โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่มีอาการมากผิดปกติ อาการซับซ้อน หรือมีอาการที่รุนแรงเฉียบพลัน ดังนี้

  • การตรวจเลือด แพทย์อาจให้มีการตรวจเลือดเพราะอาจมีการติดเชื้อที่เส้นประสาทไขสันหลังหรือสมอง และเกิดพิษในระบบร่างกายของผู้ป่วย
  • การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) แพทย์จะให้มีการตรวจวิธีนี้หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อ มีเลือดออกในสมอง
  • การใช้เครื่อง CT scan (Computerized Tomography) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่ให้ความละเอียดมากขึ้นกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา เป็นการหาความผิดปกติต่าง ๆ ในร่างกาย โดยทำให้เห็นภาพของสมอง เพื่อที่แพทย์จะสามารถวินิจฉัยความผิดปกติต่าง ๆ ได้มากขึ้น
  • การใช้เครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งเป็นครื่องตรวจร่างกายโดยการสร้างภาพเหมือนจริงของอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย โดยอาศัยหลักการของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยเนื้องอก การอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ดูการมีเลือดออกในสมอง การติดเชื้อ และภาวะอื่น ๆ ในสมองและระบบประสาท

การรักษาไมเกรน

วิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความถี่และความรุนแรงของการปวดศีรษะ รวมไปถึงข้อบ่งชี้ทางการแพทย์อื่น ๆ ซึ่งการรักษาบางชนิดอาจไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร และเด็ก โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดให้แก่ผู้ป่วยแต่ละคน ดังนี้

ยาบรรเทาอาการปวด 

หากผู้ป่วยเป็นไมเกรนที่ไม่รุนแรงหรือปานกลาง สามารถใช้แอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือยาอื่น ๆ ก็สามารถช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้ในบางราย แต่หากใช้ยาประเภทนี้บ่อย ๆ และเป็นเวลานาน สามารถทำให้เกิดแผลเปื่อยหรือแผลอักเสบได้ อาจเกิดเลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้ หรือโรคปวดศีรษะเรื้อรังที่มีเหตุมาจากการใช้ยาแก้ปวด

ยาเออร์กอต (Ergots) 

ยาเออร์กอตเป็นยาที่มีส่วนผสมของยาเออร์โกตามีน Ergotamine และคาเฟอีน (Caffeine) ซึ่งยานี้อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดอาหารคลื่นไส้และอาเจียน หากใช้ติดต่อกันนานเกินไปอาจทำให้เป็นโรคปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดติดต่อกันนานเกินไปได้ และอาจทำให้เกิดอาการเลือดไม่ไปเลี้ยงอวัยวะในร่างกายได้อีกด้วย

ยากลุ่มทริปแทน (Triptans) 

ยากลุ่มทริปแทนนิยมใช้ในการบรรเทาอาการปวดไมเกรน รวมไปถึงอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไมเกรน เช่น อาการคลื่นไส้ อาการไวต่อแสงและเสียง ซึ่งยากลุ่มนี้มีทั้งแบบยาเม็ด ยาพ่น และยาฉีด

กลุ่มยาทริปแทนมีอยู่หลายชนิด ประกอบไปด้วย

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ยากลุ่มทริปแทน เช่น อาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ และกล้ามเนื้อล้า ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้ในคนไข้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ

ยาแก้อาการคลื่นไส้ (Anti-nausea Medications) 

โรคไมเกรนมักมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย โดยอาจมีการอาเจียนหรือไม่มีก็ได้ โดยยาชนิดนี้จะมีการใช้ร่วมกับยาอื่นเสมอ เช่น เมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) ยาคลอร์โปรมาซีน (Chlorpromazine) หรือโปรคลอเปอราซีน (Prochlorperazine)

ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioid Medications) 

ยากลุ่มโอปิออยด์มีส่วนประกอบของยาเสพติด เช่น ยาโคเดอีน (Codeine) ซึ่งมีการนำมาใช้ในการรักษาไมเกรนสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยากลุ่มทริปแทนหรือยาเออร์กอตได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักไม่นิยมนำยากลุ่มนี้มาใช้

ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroid)

ยากลุ่มสเตียรอยด์ เช่น ยาเพรดนิโซน (Prednisone) และเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) โดยยาสเตียรอยด์สามารถนำมาใช้กับยาตัวอื่น ๆ เพื่อช่วยในการบรรเทาอาการปวดได้ แต่ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้บ่อย ๆ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา โดยส่วนใหญ่แล้วยากลุ่มนี้มักไม่นิยมนำมาใช้

ภาวะแทรกซ้อนของไมเกรน

โอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนนั้นมาจากการรักษาและควบคุมอาการปวดไมเกรน ซึ่งอาจทำให้พบปัญหา ดังต่อไปนี้

  • ปัญหาเกี่ยวกับท้อง (Abdominal problems) การใช้ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ในการบรรเทาอาการปวดไมเกรน เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง เลือดออกในกระเพาะอาหาร เกิดแผล หรืออาการแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยเฉพาะหากใช้ยาในปริมาณมากหรือใช้เป็นเวลานาน
  • อาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไป (Medication-overuse Headaches) เกิดขึ้นหากมีการใช้ยาแก้ปวดเกือบทุกชนิดในประมาณมากเกินไป มากกว่า 10 วันต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน
  • กลุ่มอาการเซโรโทนิน (Serotonin Syndrome) ภาวะแทรกซ้อนชนิดนี้จะพบได้น้อยมาก แต่มีความรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งจะเกิดเมื่อร่างกายมีสารสื่อประสาทที่ชื่อเซโรโทนินมากเกินไป มักเกิดเมื่อใช้ยากลุ่มทริปแทนร่วมกับยารักษาอาการซึมเศร้า

นอกจากนั้น ในบางรายอาจพบว่ามีภาวะแทรกซ้อนจากไมเกรน ดังนี้

  • ไมเกรนเรื้อรัง (Chronic Migraine) ผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดนี้จะมีอาการไมเกรน 15 วันหรือมากกว่านั้นต่อ 1 เดือน โดยเป็นติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
  • ไมเกรนชนิดที่รุนแรงมาก (Status Migrainosus) ผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดนี้เป็นไมเกรนอย่างรุนแรงติดต่อกันนานมากกว่า 3 วัน
  • อาการเตือน (Aura) ของไมเกรนเกิดนานกว่าปกติแต่ไม่มีภาวะสมองขาดเลือด (Persistent Aura without Infarction) เมื่อผู้ป่วยหายจากไมเกรนแล้วแต่อาการเตือนต่าง ๆ ยังคงอยู่ อาจเกิดนานมากกว่า 1 สัปดาห์ โดยอาการอาจคล้ายกับอาการเลือดออกในสมอง แต่ไม่มีความผิดปกติในสมองแต่อย่างใด
  • ไมเกรนที่เกิดภาวะสมองขาดเลือด (Migrainous Infarction) การเกิดอาการเตือนที่นานกว่า 1 ชั่วโมง แล้วทำให้ขาดเลือดหล่อเลี้ยงในสมอง กรณีนี้จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมอย่างละเอียด

การป้องกันไมเกรน

วิธีการป้องกันไมเกรนที่ดีที่สุดคือ การรู้และเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนและพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น การจดบันทึกทุกครั้งเมื่อเกิดอาการจะสามารถช่วยจำแนกตัวกระตุ้นที่อาจเป็นสาเหตุ และช่วยให้สามารถควบคุมการใช้ยารักษาได้อย่างตรงจุด โดยสิ่งที่ควรบันทึกไว้เมื่อเกิดอาการ ได้แก่

  • วันและเวลาที่เกิดอาการขึ้น
  • สัญญาณหรืออาการเตือนต่าง ๆ ก่อนเป็นไมเกรน
  • อาการที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการที่มีอาการเตือน (Aura) หรือไม่มีอาการเตือนร่วม
  • ยารักษาโรคที่ใช้
  • วันและเวลาที่อาการหายไป

หากผู้ป่วยพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ แล้วแต่ยังคงเกิดอาการไมเกรนอยู่ สามารถใช้ยารักษาโรคเพื่อการป้องกันไมเกรนได้ โดยการใช้ยาต้องได้รับใบสั่งยาและคำแนะนำจากแพทย์หากผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรงและเป็นบ่อย 

โดยตัวอย่างยาที่ใช้ในการป้องกันไมเกรนมีดังนี้

  • โพรพราโนลอล (Propranolol) เป็นยาที่ใช้รักษาอาการใจสั่น แต่สามารถนำมาใช้ในการป้องกันโรคไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน 
  • โทพิราเมท (Topiramate) เป็นยาชนิดหนึ่งที่ใช้รักษาโรคลมชัก แต่ในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ในการป้องกันไมเกรนมากขึ้น 

หากการใช้ยารักษาโรคไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยในบางราย หรือไม่สามารถช่วยป้องกันไมเกรนได้ ผู้ป่วยอาจพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เช่น การฝังเข็ม ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมนำมาใช้ในการรักษาไมเกรนกันมากขึ้น