ความหมาย ต้อหิน
ต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคของดวงตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากความเสื่อมของเส้นประสาทตา หรือเส้นประสาทตาถูกทำลาย โดยเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างตากับสมอง ปัจจัยหลักมาจากความดันในลูกตาสูง ซึ่งเกิดจากการระบายน้ำออกของลูกตามีการอุดตันและเสื่อมสภาพ ทำให้ระบายน้ำออกจากลูกตาได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้ความดันภายในลูกตาเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จนทำลายประสาทตาในที่สุด
ต้อหินสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นตามอายุ แต่จะเกิดขึ้นบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติของคนในครอบครัวเป็นต้อหิน หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น นอกจากนั้น องค์กรอนามัยโลก (WHO) ยังระบุว่า ต้อหินเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นของคนทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากต้อกระจก พบผู้ป่วยโรคต้อหินทั่วโลกถึง 70 ล้านคน โดยเกือบ 10% ของผู้ป่วยหรือประมาณ 6.7 ล้านคน ต้องตาบอด หรือสูญเสียการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง ในประเทศไทย ข้อมูลจากสถิติสาธารณสุข ปี 2555 พบผู้ป่วยโรคต้อหินทั่วประเทศ จำนวน 17,687 ราย
ถึงแม้ว่าต้อหินจะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถป้องกันและควบคุมการสูญเสียของการมองเห็นได้
อาการของต้อหิน
โดยทั่วไป ต้อหินจะไม่มีอาการ หรือสัญญาณปรากฏเด่นชัดในตอนแรก และจะเกิดอาการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน ดังนี้
ต้อหินมุมเปิด (Open-angle Glaucoma)
- เป็นต้อหินชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการไหลเวียนของน้ำในลูกตาลดลง ไม่ทราบกลไกที่แน่นอน สันนิษฐานว่าเกิดจากความเสื่อมของช่องระบายน้ำออกจากลูกตา ส่งผลให้น้ำในลูกตาไม่สามารถไหลเวียนออกได้อย่างปกติ ทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงจนส่งผลให้ประสาทตาถูกทำลาย
- ส่วนมากจะไม่มีอาการแสดงในระยะแรก แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้นจะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างช้า ๆ ตามัวลงเล็กน้อยคล้ายมีหมอกมาบังทางด้านข้าง ซึ่งนำไปสู่การตาบอดในที่สุด ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัว ยกเว้นคนที่มีการสังเกตค่อนข้างดี
ต้อหินมุมปิด (Angle-closure Glaucoma)
- เป็นต้อหินที่พบได้น้อยกว่าต้อหินมุมเปิด อาการจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะโครงสร้างในการระบายน้ำออกจากลูกตามีการอุดตันอย่างทันทีทันใด ซึ่งที่มุมตาจะมีเนื้อเยื่อลักษณะคล้ายตะแกรงที่เรียกว่า trabecular meshwork เป็นทางผ่านของน้ำในลูกตา เมื่อเกิดการอุดตันขึ้น จึงทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงตามมาจนส่งผลให้ประสาทตาถูกทำลาย
- อาการที่จะเกิดขึ้นได้ คือ ปวดศีรษะ ตาแดง ตามัว เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ และคลื่นไส้ อาเจียน
- ในกรณีที่เกิดขึ้นเฉียบพลันจะมีอาการปวดตา หรือปวดศีรษะข้างเดียวกับตา
ต้อหินตั้งแต่กำเนิด หรือกรรมพันธ์ุ (Congenital Glaucoma)
- เกิดในทารก หรือเด็ก อาการมักรุนแรงและควบคุมโรคได้ยาก หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกอาจพัฒนาไปจนทำให้ตาบอดได้ การตรวจหาโรคอาจทำได้ยากแต่สามารถสังเกตพฤติกรรมของเด็กและสังเกตทางกายภาพได้ เช่น
- มีดวงตาที่ใหญ่กว่าคนปกติ
- ไม่ชอบแสงสว่างจ้า
- ไม่สามารถควบคุมการกระพริบตาได้
- มีตาแดง ตาแฉะ หรือตาขุ่นมัว
- ขยี้ตาบ่อย ๆ
ต้อหินชนิดแทรกซ้อน (Secondary Glaucoma)
- อาจเกิดมาจากภาวะแทรกซ้อนจากความผิดปกติทางตา หรือเกิดจากโรคตาอื่น ๆ เช่น ได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดอุบัติเหตุที่ตา มีเนื้องอก หรือใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน ทำให้พัฒนามาเป็นต้อหิน
สาเหตุของต้อหิน
ในตาของเรานั้นจะมีน้ำหล่อเลี้ยงที่เรียกว่า aqueous humor ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยเนื้อเยื้อที่เรียกว่า ciliary body โดยน้ำหล่อเลี้ยงที่ถูกสร้างขึ้นมาจะไหลเวียนสู่ช่องหน้าลูกตา (anterior chamber) ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเลนส์ กระจกตา และหลังจากนั้นจะถูกดูดซึมผ่านออกจากลูกตาไปทางมุมตา (angle) โดยมุมตาจะมีโครงสร้างลักษณะคล้ายตะแกรง ที่เรียกว่า trabecular meshwork ซึ่งจะอยู่บริเวณขอบของม่านตา เมื่อน้ำหล่อเลี้ยงตาที่ผลิตขึ้น และการระบายออกของน้ำในตามีความสมดุล ก็จะทำให้ความดันตาอยู่ในระดับปกติ
ต้อหินมีสาเหตุมาจากจอประสาทตามีความเสื่อมหรือถูกทำลาย โดยประสาทตาจะเสื่อมลงทีละน้อย และเกิดจุดบอดขึ้นที่ลานสายตา มักมีสาเหตุสำคัญมาจากความดันในตาสูงอันเนื่องมาจากการไหลเวียนเข้าและออกของน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตาไม่สมดุล เกิดการอุดตันบริเวณทางออกของช่องระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา ซึ่งทำให้มีการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตามากขึ้นแต่การไหลออกช้าลง ทำให้ความดันในตาสูงขึ้น อาจเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ หรือเฉียบพลัน ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคต้อหิน
ปัจจัยความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต้อหิน อาจประกอบไปด้วย
- ต้อหินชนิดปฐมภูมิ หรือต้อหินทั่วไปที่ไม่ทราบสาเหตุ โดยจะเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ อาจมีประวัติของคนในครอบครัวเป็นต้อหิน นอกจากนี้ยังพบในคนสายตาสั้นหรือยาวมาก ๆ คนที่เป็นเบาหวาน และผู้สูงอายุ
- ต้อหินที่มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะเบาหวานขึ้นตา เกิดอุบัติเหตุทางตา มีการติดเชื้อหรือการอักเสบในตา มีการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นเวลานาน รวมไปถึงโรคต้อกระจกที่ปล่อยทิ้งไว้จนสุก
- ตรวจพบว่ามีความดันตาสูง ซึ่งค่าความดันตาปกติจะอยู่ที่ 12-20 มิลลิเมตรปรอท
การวินิจฉัยต้อหิน
แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโรคต้อหินจากประวัติทางการแพทย์ และตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียด ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจดังต่อไปนี้
- ตรวจความดันลูกตา (Tonometry) โดยแพทย์จะหยอดยาชาที่ตาก่อนแล้วจึงใช้เครื่องมือที่เรียกว่า โทโนมิเตอร์ (Tonometer) เพื่อใช้วัดความดันในลูกตา โดยความดันตามีค่าปกติอยู่ที่ 12-20 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งหากความดันตาสูงกว่า 21 มิลลิเมตรปรอท แสดงว่าผิดปกติ
- ตรวจประสาทตาและจอรับภาพ ตรวจด้วยเครื่องมือตรวจนัยน์ตา ออพธัลโมสโคป (Ophthalmoscopy) เป็นการใช้เครื่องมือตรวจส่องภายในลูกตา ให้แพทย์เห็นถึงความเสียหายหรือความเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยให้แพทย์มองเห็นเข้าไปในตา สามารถวินิจฉัยรูปร่างและสีของจอประสาทตาได้
- การวัดประสิทธิภาพของลานสายตา (Visual Field Testing) ตรวจโดยใช้เครื่องตรวจวัดลานสายตา สามารถตรวจวิเคราะห์ลานสายตาด้วยการฉายแสงให้เป็นจุดไปยังตำแหน่งต่าง ๆ เครื่องสามารถตรวจดูการเคลื่อนไหวของตาและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมภายในเครื่อง แสดงผลการตรวจออกมาได้อย่างแม่นยำและช่วยให้สามารถวินิจฉัยการเกิดต้อหินได้
- การวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry) ตรวจด้วยเครื่องวัดความหนาของกระจกตาที่เรียกกันว่า Corneal Pachymetry โดยการวัดความหนาของกระจกตาสามารถนำมาช่วยประเมินค่าความดันตาที่วัดได้อย่างแม่นยำขึ้น เนื่องจากความหนาและบางของกระจกตามีผลต่อการวัดความดันของกระจกตา
- การตรวจช่องทางการไหลของน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา ด้วยเครื่องตรวจดูภายในลูกตา Gonioscopy เป็นการตรวจเพื่อหาว่าเป็นต้อหินชนิดมุมเปิดหรือมุมปิด ซึ่งสามารถตรวจดูในทิศทางต่าง ๆ เพื่อดูมุมของการระบายของเหลว และพื้นที่ส่วนที่ทำหน้าที่ระบายของเหลวจากตา
การรักษาต้อหิน
เส้นประสาทตาของผู้ที่เป็นโรคต้อหินจะถูกทำลายอย่างถาวร การรักษาจึงเป็นการประคับประคองเพื่อไม่ให้ประสาทตาถูกทำลายมากขึ้น และเพื่อคงการมองเห็นที่มีอยู่ให้นานที่สุด ซึ่งการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรคต้อหินและระยะของโรคที่เป็นอยู่
เป้าหมายการรักษาต้อหิน คือการลดความดันในตา การรักษาโรคต้อหินมีหลายวิธี ได้แก่ การใช้ยาหยอดตา การรับประทานยา การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ และการผ่าตัดชนิดอื่น ๆ
การรักษาด้วยยาหยอดตา การรักษาโรคต้อหินมักเริ่มด้วยยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งการหยอดตาจะช่วยลดความดันลูกตา โดยไปลดการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา หรือช่วยเพิ่มอัตราการไหลออกของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา
กลุ่มของยาหยอดตาที่ใช้รักษาโรคต้อหิน เช่น
- แอลฟ่า อดริเนอจิก อโกนิส (Alpha-adrenergic Agonists) ช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา และเพิ่มการไหลออกของของเหลว
- เบต้า บล็อคเกอร์ (Beta Blockers)
ช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตาและลดอัตราการไหลของของเหลวที่เข้าไปในลูกตา
- คาร์บอนิก แอนไฮเดรส อิฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors) มีทั้งที่เป็นยาหยอดตา และยาเม็ดรับประทาน ออกฤทธิ์โดยช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา
- พลอสตาแกรนดินส์ (Prostaglandins)
ช่วยลดความดันลูกตาโดยเพิ่มการไหลออกของของเหลวในลูกตา
- โคลิเนอร์จิก เอเจนท์ (Cholinergic Agents)
การรักษาด้วยยารับประทาน หากการหยอดตาไม่ช่วยให้ความดันในตาลดลงไปในระดับที่ต้องการ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยารับประทาน โดยทั่วไปจะใช้ยาคาร์บอนิก แอนไฮเดรส อิฮิบิเตอร์ (Carbonic Anhydrase Inhibitors) ซึ่งมีทั้งที่เป็นยาหยอดตาและยาเม็ดรับประทาน โดยจะช่วยลดการสร้างของเหลวในลูกตา แต่มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย มีอาการชาที่นิ้วมือและนิ้วเท้า มีภาวะซึมเศร้า มีอาการปวดท้อง หรืออาจเกิดนิ่วในไตได้
การผ่าตัดและการบำบัดโรควิธีอื่น ๆ เป็นวิธีนอกเหนือจากการใช้ยาหยอดตาและใช้ยารับประทาน ซึ่งประกอบไปด้วยกระบวนการการผ่าตัดหลายแบบ หรือการรักษาบำบัดด้วยการใช้เลเซอร์ โดยวิธีเหล่านี้มีเป้าหมายในการระบายออกของของเหลวในตาให้ดีขึ้น และลดความดันในตา
- การรักษาด้วยเลเซอร์ การยิงเลเซอร์ (Laser Trabeculoplasty) ใช้รักษาโรคต้อหินชนิดมุมเปิด โดยใช้แสงเลเซอร์สร้างรูทางเปิดเล็ก ๆ ที่มุมระบายของลูกตา ช่วยให้ระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาได้ดียิ่งขึ้น และช่วยลดความดันตา
- การผ่าตัด เปิดทางระบายให้น้ำข้างในออกมาอยู่ที่ใต้เยื่อบุตา เพื่อลดความดันข้างในลูกตา ในกรณีที่การรักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล
ภาวะแทรกซ้อนของต้อหิน
หากพบว่าเป็นโรคต้อหินไม่ว่าจะชนิดใดก็ตาม ถ้าผู้ป่วยไม่เริ่มทำการรักษาอย่างทันท่วงที ปล่อยเอาไว้ก็จะทำให้อาการของโรคค่อย ๆ พัฒนาไปทางที่แย่ลง ประสาทตาก็จะค่อย ๆ ถูกทำลายและเสื่อมลง หรือหากผู้ป่วยที่เป็นต้อหิน ได้ทำการรักษาแล้ว แต่ไม่ทำการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ไปพบแพทย์ตามนัด หรือไม่ปฏิบัติตามแผนการรักษาที่วางเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ ก็อาจทำให้ต้องสูญเสียการมองเห็นไปในที่สุด
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น หลังจากการรักษาต้อหินด้วยการผ่าตัด อาจทำให้เกิดเลือดออกในตาหรือเกิดการติดเชื้อในตา หรือแม้แต่การใข้ยาหยอดตาที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการซื้อมาใช้เองไม่ปรึกษาแพทย์ เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรซื้อมาใช้เอง และควรปรีกษาแพทย์ ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น
การป้องกันต้อหิน
โรคต้อหิน เป็นภัยเงียบที่ป้องกันได้ ถึงแม้จะเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่หากได้รับการตรวจและได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ ก็สามารถช่วยป้องกันการเสื่อม หรือลดการถูกทำลายของประสาทตา เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียในการมองเห็น
ควรปฏิบัติตัวเพื่อให้มีสุขภาพตาที่ดีและห่างไกลจากต้อหิน ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสายตาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป หรือผู้สูงอายุ ควรได้รับการตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง หยอดยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ และไม่ควรซื้อยาหยอดตาใช้เอง พยายามควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานวิตามินบำรุงสายตา เป็นต้น
นอกจากนั้น การออกกำลังกายก็มีส่วนช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และสามารถบรรเทา อาการได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และไม่ควรเล่นกีฬาที่ต้องห้อยศีรษะ ซึ่งเป็นการเพิ่มความดันในตาและอาจเป็นอันตราย
การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไปสามารถเพิ่มความดันในตาได้ ดังนั้นควรลดปริมาณการดื่ม หรือดื่มอย่างพอดี เวลานอนควรหนุนหมอนในระดับพอเหมาะไม่สูงไม่ต่ำเกินไป ยกหมอนให้สูงประมาณ 20 องศา จากแนวการนอน ซึ่งพบว่าวิธีนี้ทำให้สามารถลดความดันในลูกตาขณะนอนหลับได้