Ampicillin (แอมพิซิลลิน)

Ampicillin (แอมพิซิลลิน)

Ampicillin (แอมพิซิลลิน) เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลิน ออกฤทธิ์โดยกำจัดหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในร่างกาย อาจใช้รักษาโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หลอดลมอักเสบ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หรือใช้ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียสเตร็ปโตคอคคัสกรุ๊ปบีในทารกแรกเกิด นอกจากนี้ อาจใช้รักษาการติดเชื้ออื่น ๆ ด้วย โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

Ampicillin

เกี่ยวกับยา Ampicillin

กลุ่มยา ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย
กลุ่มผู้ป่วย เด็กและผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน และยาฉีด

คำเตือนในการใช้ยา Ampicillin

  • แจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ต่าง ๆ และยาที่กำลังใช้อยู่ทุกชนิด
  • ผู้ป่วยโรคหืด โรคไต ผู้ที่เคยท้องเสียจากการรับประทานยาปฏิชีวนะ ผู้ที่แพ้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเซฟาโลสปอริน รวมถึงผู้ที่ตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเอง
  • ไม่ควรใช้ยาหากแพ้ยานี้ รวมถึงปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาหากแพ้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนิซิลลินชนิดอื่น ๆ เช่น อะม็อกซีซิลลิน หรือไดคลอกซาซิลลิน
  • ไม่ควรให้นมบุตรในขณะใช้ยา เพราะยาอาจถูกขับออกทางนมแม่แล้วเป็นอันตรายต่อทารก
  • ยานี้อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดลดลง จึงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดรูปแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสมในขณะใช้ยา
  • ยา Ampicillin อาจทำให้ผลตรวจทางการแพทย์บางชนิดคาดเคลื่อนได้ ดังนั้น แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนรับการตรวจใด ๆ หากกำลังใช้ยานี้
  • ยา Ampicillin เป็นยาปฏิชีวนะที่ทำให้ท้องเสียได้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อขึ้นใหม่ด้วย หากผู้ป่วยท้องเสียหลังใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบและห้ามรับประทานยาแก้ท้องเสียเองจนกว่าแพทย์จะสั่ง

ปริมาณการใช้ยา Ampicillin

Ampicillin มีปริมาณการใช้ยาแตกต่างกันตามอายุและอาการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีตัวอย่างการใช้ยาและรายละเอียด ดังนี้

รักษาหลอดลมอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ กระเพาะและลำไส้อักเสบ ทางเดินน้ำดีอักเสบ และการติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัสในเด็กแรกเกิด

  • ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 0.25-1 กรัม ทุก ๆ 6 ชั่วโมง
  • เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี รับประทานยาในปริมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่

รักษาไข้ไทฟอยด์

  • ผู้ใหญ่ หากมีอาการติดเชื้อเฉียบพลัน ให้รับประทานยาปริมาณ 1-2 กรัม ทุก ๆ 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และสำหรับผู้ป่วยที่เป็นพาหะของโรค ให้รับประทานยาเป็นเวลา 4-12 สัปดาห์

รักษาทางเดินปัสสาวะอักเสบ

  • ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 500 มิลลิกรัม ทุก ๆ 8 ชั่วโมง

รักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

  • ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำวันละ 2 กรัม ทุก ๆ 6 ชั่วโมง
  • เด็ก ฉีดยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

รักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด

  • ผู้ใหญ่และเด็ก เริ่มต้นฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำปริมาณ 150-200 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน อย่างน้อย 3 วัน แล้วฉีดยาเข้าทางกล้ามเนื้อทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง และรักษาต่ออย่างน้อย 2-3 วัน หลังพบว่าผู้ป่วยไม่แสดงอาการหรือเมื่อพบว่าเชื้อแบคทีเรียถูกกำจัดไปแล้ว ส่วนการติดเชื้อเบต้า เฮโมไลติก สเตรปโตค็อกคัส กรุ๊ปเอ มักใช้เวลารักษาอย่างน้อย 10 วัน เพื่อป้องกันการเกิดไข้รูมาติกชนิดเฉียบพลันหรือภาวะหน่วยไตอักเสบชนิดเฉียบพลัน

ป้องกันการติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส กรุ๊ปบี ในทารกแรกเกิด

  • ผู้ใหญ่ เริ่มต้นฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำของผู้ที่ตั้งครรภ์ปริมาณ 2 กรัม และฉีดยาปริมาณ 1 กรัม ทุก ๆ 4 ชั่วโมงจนกว่าจะคลอด

รักษาการติดเชื้อที่ไวต่อยา Ampicillin

  • ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้าทางกล้ามเนื้อหรือหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำช้า ๆ ปริมาณ 500 กรัม เป็นเวลา 3-5 นาที ทุก ๆ 6 ชั่วโมง
  • เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ฉีดยาในปริมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่

รักษารูปแบบเสริมสำหรับการติดเชื้อที่ไวต่อยา Ampicillin

  • ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้าในข้อต่อ ช่องท้อง หรือช่องเยื่อหุ้มปอด วันละ 500 มิลลิกรัม
  • เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ฉีดยาในปริมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่

การใช้ยา Ampicillin

  • ควรอ่านฉลากยาและทำตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาในปริมาณมากหรือน้อยเกินไป และใช้ยาตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดแม้มีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีอาการดีขึ้นก่อนร่างกายจะกำจัดเชื้อได้หมด อีกทั้งการรับประทานยาไม่ครบตามที่แพทย์สั่งอาจทำให้เกิดการดื้อยาและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอนาคต
  • สำหรับยารับประทาน ให้รับประทานยาตอนท้องว่างอย่างน้อย 30 นาทีก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังมื้ออาหารพร้อมดื่มน้ำตาม 1 แก้ว หากเป็นยารับประทานชนิดน้ำ ควรตวงปริมาณยาด้วยอุปกรณ์ที่แนบมากับตัวยา เพื่อให้ได้รับปริมาณยาที่ถูกต้อง
  • หากลืมรับประทานยาตามกำหนด เมื่อนึกขึ้นได้ให้รับประทานยาทันที หากเป็นเวลาใกล้กับยาครั้งถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาและปริมาณปกติ ไม่ต้องเพิ่มยาเพื่อทดแทนมื้อที่ขาดไป
  • หากใช้ยาเกินขนาดควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
  • ห้ามใช้ยาร่วมกับผู้อื่น แม้ป่วยด้วยอาการเดียวกันก็ตาม
  • ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อน ความชื้น ไม่ให้ยาสัมผัสแสงโดยตรง และให้พ้นจากมือเด็ก รวมถึงปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้ยา

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Ampicillin

ยา Ampicillin อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น ปวดท้อง ถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน ลิ้นบวม ลิ้นดำ ลิ้นเป็นขน คันที่อวัยวะเพศหญิง หรือมีตกขาว เป็นต้น และควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน หากพบอาการอื่น ๆ ดังต่อไปนี้

  • อาการแพ้ยา เช่น มีผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง หายใจลำบาก มีอาการบวมที่ลิ้น ริมฝีปาก ใบหน้า หรือลำคอ
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องเสียมาก หรืออุจจาระเป็นเลือด
  • มีไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่
  • รู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ เกิดแผลฟกช้ำหรือมีเลือดออกง่าย