ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill)
ยาคุมฉุกเฉินหรือยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill) เป็นยาป้องกันการตั้งครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้คุมกำเนิด หรือเกิดความผิดพลาดจากการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น ถุงยางอนามัยฉีกขาด ฝ่ายหญิงลืมรับประทานยาคุมกำเนิด หรือแม้กระทั่งการถูกข่มขืนกระทำชำเรา
ผู้หญิงควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หลังจากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน โดยตัวยาจะช่วยป้องกันการตกไข่ และอาจช่วยยับยั้งการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิกับอสุจิแล้วในเยื่อบุโพรงมดลูก แต่ไม่อาจยับยั้งไข่ที่ฝังตัวไปแล้วหรือช่วยให้ผู้ที่ตั้งครรภ์แท้งบุตรได้ และยังไม่พบว่าก่อให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์
ยาคุมฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์หากรับประทานทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) โดยยาคุมฉุกเฉินที่จำหน่ายในปัจจุบันจะมี 2 แบบ คือ ยาคุมฉุกเฉินขนาด 1.5 มิลลิกรัม และยาคุมฉุกเฉินขนาด 0.75 มิลลิกรัม
เกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน
กลุ่มยา | ยาคุมกำเนิด |
ประเภทยา | ยาที่หาซื้อได้เอง |
สรรพคุณ | ป้องกันการตั้งครรภ์ |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร | ยังไม่มีการจัดหมวดหมู่ของยาชนิดนี้จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FDA แต่จากการศึกษาที่มีอยู่พบว่า การใช้ยาระยะยาวไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์และการให้นมทารกหลังคลอด |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนของการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ใช้ยาควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาคุมฉุกเฉิน
- หากตนเองมีประวัติทางสุขภาพ โดยเฉพาะมีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
- ยาคุมฉุกเฉินอาจทำให้ผู้หญิงบางรายมีประจำเดือนมากะปริบกะปรอย มาล่าช้า หรือมาก่อนกำหนด หากประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนด 7 วัน ควรตรวจการตั้งครรภ์
- การรับประทานยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกวิธีจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ แต่ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- ยาคุมฉุกเฉินควรใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น หากมีความจำเป็นต้องคุมกำเนิดในระยะยาวควรเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น หรือปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ
- ยาคุมฉุกเฉินอาจทำให้เวียนศีรษะ จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ขับขี่ยานพาหนะ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาในช่วงที่มีการใช้ยา เพราะอาจมีอาการเวียนศีรษะมากขึ้น
ปริมาณการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาคุมฉุกเฉินจะขึ้นอยู่กับชนิดของยา ผู้ใช้ยาควรอ่านฉลากบนบรรจุภัณฑ์ยาหรือปรึกษาเภสัชกรก่อนรับประทาน
ยาคุมฉุกเฉินแบบ 1 แผง มี 2 เม็ด ปริมาณ 0.75 มิลลิกรัม
รับประทาน 1 เม็ดทันที หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วรับประทานอีก 1 เม็ด ใน 12 ชั่วโมงถัดมา ภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
ยาคุมฉุกเฉินแบบแผงมี 1 เม็ด ปริมาณ 1.5 มิลลิกรัม
รับประทานทันที หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
การใช้ยาคุมฉุกเฉิน
การใช้ยาคุมฉุกเฉินควรอ่านฉลากยาหรือปรึกษาเภสัชกรก่อนเสมอ ผู้หญิงควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินทันทีหลังการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน เพื่อประสิทธิผลสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินเพื่อคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่อง เพราะยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพป้องกันการตั้งครรภ์ได้ไม่ดีเท่าการคุมกำเนิดประเภทอื่น
นอกจากจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นการสะสมฮอร์โมนในร่างกายมากเกินความจำเป็น และอาจส่งผลเสียต่อร่างกายหรือก่อให้เกิดอาการป่วยต่าง ๆ ตามมา สำหรับกลุ่มผู้ป่วยไมเกรน หรือมีอาการป่วยเกี่ยวกับหัวใจ ตับ และผู้ที่กำลังให้นมบุตรก็สามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินได้เช่นกัน
ในกรณีที่ผู้ใช้ยาอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินไปแล้ว ควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร เพราะอาจจำเป็นต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินซ้ำอีกครั้ง
ปฏิกิริยาระหว่างยาคุมฉุกเฉินกับยาอื่น
ยาคุมฉุกเฉินอาจทำปฏิกิริยากับยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ ยาที่หาซื้อได้เอง วิตามิน หรือสมุนไพรบางชนิดจนเกิดอาการไม่พึงประสงค์หรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง หากกำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ อยู่ ควรแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบก่อนเสมอ โดยเฉพาะยาต่อไปนี้
- ยาต้านชักอย่างยากลุ่มบาร์บิทูเรต (Barbiturates) หรือยาออกคาร์บาซีปีน (Oxcarbazepine) ยาไรแฟมพิน (Rifampin) ยากริซีโอฟูลวิน (Griseofulvin)
- ยาต้านไวรัสเอชไอวี (HIV) บางชนิด
- สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John's Wort)
ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน
การใช้ยาคุมฉุกเฉินมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เรื้อรังหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่อาจพบอาการข้างเคียงเล็กน้อยในระยะสั้น ๆ เช่น ปวดท้อง ปวดศีรษะ ปวดหน้าอก รู้สึกป่วย ร่างกายอ่อนล้า ประจำเดือนมาผิดปกติหรือมีเลือดไหลก่อนถึงรอบประจำเดือน
ส่วนกลุ่มอาการผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก เช่น หน้ามืด วิงเวียน คลื่นไส้ และอาเจียน แต่หากมีอาการรุนแรงขึ้น หรือประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนดเกินกว่า 7 วัน ควรตรวจการตั้งครรภ์ และรีบไปปรึกษาแพทย์