ยาเอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine)

ยาเอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine)

Emtricitabine (เอ็มตริไซตาบีน) เป็นยาที่ใช้รักษาและควบคุมอาการของโรคติดเชื้อเอชไอวี โดยตัวยาจะลดปริมาณของเชื้อเอชไอวีภายในร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น 

อย่างไรก็ตาม ยา Emtricitabine จำเป็นจะต้องใช้ร่วมกับยารักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีชนิดอื่น และแพทย์อาจนำยามาใช้ในการรักษาหรือป้องกันปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เพิ่มเติมตามดุลยพินิจ

ยาเอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine)

เกี่ยวกับยา Emtricitabine

กลุ่มยา ยาต้านเอชไอวีกลุ่ม Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ ควบคุมอาการของโรคติดเชื้อเอชไอวี
กลุ่มผู้ป่วย เด็ก ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร Category B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์ และยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป และไม่ควรให้นมบุตรในขณะที่ใช้ยา เนื่องจากตัวยาและเชื้อเอชไอวีอาจปนเปื้อนไปกับน้ำนม

คำเตือนในการใช้ยา Emtricitabine

ข้อควรทราบก่อนการใช้ยา Emtricitabine เพื่อความปลอดภัย

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากมีประวัติแพ้ยา Emtricitabine รวมถึงยาและสารอื่น ๆ โดยผู้ป่วยสามารถสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรถึงส่วนประกอบของยา Emtricitabine ก่อนการใช้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบถึงวิตามิน สมุนไพร หรือยาทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้ เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยา เช่น ยาไรบาไวริน (Ribavirin) ยาออริสแตท (Orlistat) ยาวาลแกนไซโคลเวียร์ (Valganciclovir) ยาลามิวูดีน (Lamivudine) หรือยาคุมชนิดฮอร์โมน   
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ป่วยด้วยโรคตับ โรคไต ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรืออยู่ระหว่างการฟอกไต 
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างการใช้ยา
  • ก่อนรับการรักษาทางทันตกรรมหรือการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่าอยู่ในช่วงใช้ยา Emtricitabine  
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้ยาหากกำลังตั้งครรภ์ เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ได้อย่างเหมาะสม
  • มารดาที่ติดเชื้อเอชไอวีไม่ควรให้นมบุตรแม้ว่าจะอยู่ในระหว่างได้รับยา Emtricitabine เนื่องจากตัวยาและเชื้อเอชไอวีอาจปนเปื้อนออกมาทางน้ำนมได้ 
  • ผู้ป่วยอาจต้องรับการตรวจไวรัสตับอักเสบบี ตรวจเลือด ตรวจการทำงานของตับ ตรวจไตหรือการตรวจอื่น ๆ บ่อยครั้ง เพื่อดูการตอบสนองของอาการต่อการใช้ยา Emtricitabine

ปริมาณการใช้ยา Emtricitabine

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยา Emtricitabine ขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ป่วย การตอบสนองต่อการรักษา และดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา หากเป็นผู้ป่วยเด็กจะพิจารณาตามน้ำหนักตัวร่วมด้วย โดยตัวอย่างการใช้ยาเพื่อป้องกันหรือรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีมีดังนี้

เด็กอายุ 1–3 เดือน รับประทานยา Emtricitabine รูปแบบสารละลายที่มีความเข้มข้น 10 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ปริมาณ 3 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน ร่วมกับยาต้านไวรัสชนิดอื่น 

เด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไป รับประทานยา Emtricitabine รูปแบบสารละลายที่มีความเข้มข้น 10 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ปริมาณ 6 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัส ในกรณีที่ผู้ป่วยสามารถกลืนยาเม็ดได้และมีน้ำหนักตัวมากกว่า 33 กิโลกรัม รับประทานยารูปแบบแคปซูล ปริมาณ 200 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน   

ผู้ใหญ่ รับประทานยา Emtricitabine รูปแบบแคปซูล ปริมาณ 200 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน หรือรับประทานในรูปแบบแบบสารละลายที่มีความเข้มข้น 10 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ในปริมาณ 240 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน ร่วมกับยาต้านไวรัสชนิดอื่น 

การใช้ยา Emtricitabine

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา Emtricitabine ผู้ป่วยควรใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยจะต้องใช้ยา Emtricitabine ร่วมกับยาต้านไวรัสชนิดอื่น ๆ และไม่ควรปรับปริมาณยาหรือระยะเวลาในการใช้ยาด้วยตัวเอง หากใช้ยาในรูปแบบสารละลาย ควรใช้ไซริงค์หรือช้อนตวงยา รวมทั้งควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าก่อนยาหมด เพราะหากเว้นระยะการใช้ยาอาจส่งผลให้เกิดเชื้อดื้อยา 

ยา Emtricitabine สามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ และควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อป้องกันการลืมใช้ยา หากผู้ป่วยอาเจียนหลังจากรับประทานยาภายใน 1 ชั่วโมง ให้ผู้ป่วยรับประทานยาใหม่อีกครั้ง เนื่องจากร่างกายอาจยังไม่ได้ดูดซึมตัวยาเข้าสู่ร่างกาย

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรใช้ถุงยางอนามัยหรือคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นในระหว่างการใช้ยาควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่ผู้อื่น 

ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานที่ใช้ยา Emtricitabine แล้วน้ำหนักตัวของเด็กเพิ่มขึ้นหรือลดลง จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ เนื่องจากปริมาณยาที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของเด็ก นอกจากนี้ หากผู้ป่วยเกิดภาวะซึมเศร้า คิดทำร้ายตัวเอง หรือมีอาการของการติดเชื้อเกิดขึ้นหลังการใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที

ในกรณีที่ลืมใช้ยา ให้ใช้ยาทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้ถึงช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยาตามเวลาปกติ ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าเพื่อทดแทน และหากคาดว่าใช้ยา Emtricitabine เกินปริมาณที่กำหนดและมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบากหรือหมดสติ ควรไปพบแพทย์ทันที 

การเก็บยาชนิดแคปซูลควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด หากใช้ยาในรูปแบบสารละลาย ควรเก็บไว้ในตู้เย็นแต่ห้ามไว้ในช่องแช่แข็ง และควรใช้ให้หมดภายใน 3 เดือน 

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Emtricitabine  

ยา Emtricitabine อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทั่วไป เช่น เกิดผื่นเล็กน้อย เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ฝันร้าย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ผิวเปลี่ยนสี มีไขมันสะสมตามคอ หน้าอก รอบเอวหรือขา หากอาการดังกล่าวแย่ลงหรือเกิดอาการติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ 

อย่างไรก็ตาม หลังการใช้ยา Emtricitabine แล้วพบอาการต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที

  • อาการแพ้ยา เช่น หายใจลำบาก เกิดผื่นลมพิษ ผื่นคัน เวียนศีรษะอย่างรุนแรง มีอาการบวมบริเวณริมฝีปาก ลิ้น ลำคอและใบหน้า 
  • การมองเห็นเปลี่ยนแปลง
  • รู้สึกชาหรือเป็นเหน็บอย่างรุนแรงที่มือ แขน ขาหรือเท้า
  • รู้สึกเหนื่อยอย่างรุนแรง ปวดบวมตามข้อ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อ่อนแรง ปวดศีรษะหรือปวดตามกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง
  • มีอาการของภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เช่น รู้สึกกระวนกระวายใจ ไวต่ออากาศร้อน จังหวะหัวใจเต้นผิดปกติ หรือมีอาการของภาวะคอพอก 
  • เกิดภาวะเลือดเป็นกรดแล็กติก (Lactic Acidosis) โดยรู้สึกชาหรือเย็นบริเวณปลายแขนหรือขา ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียอย่างรุนแรง คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง หายใจลำบาก และหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ 
  • เกิดความผิดปกติในตับ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหน้าท้องส่วนบน บวมรอบ ๆ ลำตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้ เกิดภาวะดีซ่านหรือปัสสาวะเป็นสีเข้ม 
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Diseases) โดยผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอกหรือหายใจไม่อิ่ม คอบวม อ่อนแรง หายใจเป็นเสียงหวีด พูดหรือกลืนลำบาก เกิดแผลในปาก อวัยวะเพศหรือทวารหนัก หรือปวดหลังช่วงล่างอย่างรุนแรง 

กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันฟื้นตัวหลังจากการเริ่มให้ยาต้านไวรัส เช่น ต่อมน้ำเหลืองบวม มีไข้ ปวดท้อง น้ำหนักตัวลด เหงื่อออกมากตอนกลางคืน หรือท้องเสียร่วมด้วย