ถามแพทย์

  • มีเพศสัมพันธ์ กังวลติด HIV จึงกินยาต้านไวรัสฉุกเฉิน ทานไป 7 วัน แล้วมีอาการต่างๆ เกิดจากยาหรือการติดเชื้อ

  •  Tula Rujeenimit
    สมาชิก
    ผมเป็นฝ่ายรุก ตอนแรกก็ใส่ถุงยางป้องกันอย่างดี แต่แล้วอีกฝ่ายก็ถามผมว่าปลอดภัยหรือป่าวพอผมบอกว่าผมปลอดภัยเค้าก็ถอดถุงยางอนามัยผมออกเลยครับ จากนั้นเค้าก็จับน้องชายของผมใส่ไปในตัวของเค้าผ่านไปประมาณ 5 นาที ผมจึงรีบถอนตัวออกมาครับ ตอนนั้นผมตกใจมากกลัวว่าเค้าจะไม่ปลอดภัย ตอนเช้าผมเลยรีบไปโรงพยาบาล ไปขอรับยาต้านฉุกเฉินมาทาน เวลาก็ผ่านไป 18 ชั่วโมงแล้วครับ ตอนนี้ทานได้ 7 วันแล้ว ตอนนี้หลังกินยา มีอาการเวียนหัว คลื่นไส้ ท้องร่วง มีตุ่มคล้ายสิวอักเสบที่ตัว ปวดตามร่างกายและข้อกระดูก มีอาการแสบชาที่ปลายลิ้น ลองคลำดูต่อมน้ำเหลืองเหมือนจะโตเลยครับหรือผมอาจจะคิดไปเอง จากที่ผมดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบอกว่า อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากยา แต่ผมกังวลมากว่าตัวเองอาจจะติดเชื้อ

    สวัสดีค่ะ คุณ Tula Rujeenimit,

                       หากมีเพศสัมพันธ์ โดยมีช่วงที่สอดใส่อวัยวะเพศโดยที่ไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ก็จะมีโอกาสติดเชื้อ HIV ได้ (หากอีกฝ่ายมีเชื้ออยู่) อย่างไรก็ตาม หากได้ทานยาต้านไวรัสฉุกเฉิน  (PEP) ภายในไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังจากที่มีความเสี่ยงมา ยาก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ก็ไม่ได้ 100% ซึ่งหากทานยาต่อเนื่องครบ 28 วัน ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ประมาณ 80% ค่ะ

                       ในยาต้านไวรัส HIV แบบฉุกเฉิน (PEP) นั้น จะประกอบไปด้วยตัวยา 2-3 ชนิด ผลข้างเคียงที่มักพบได้ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง เวียนหัว มีผื่น ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ค่าเอนไซม์ตับและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้น  เป็นต้น 

                        ดังนั้น อาการต่างๆ ที่เกิดหลังจากทานยาไปได้ 7 วัน ก็น่าจะเกิดจกาผลข้างเคียงของยาได้ค่ะ และไม่น่าเป็นอาการของการติดเชื้อ HIV แบบเฉียบพลัน เพราะอาการของ HIV ในระยะเฉียบพลัน มักจะเกิดหลังจากติดเชื้อมาแล้ว 2-4 สัปดาห์ค่ะ

                        หลังจากนี้ เมื่อทานยาครบ 28 วันแล้ว ก็ต้องตรวจหาเชื้อ HIV ที่ 1 เดือน และ 3 เดือนค่ะ และควรตรวจเลือดหาการติดเชื้ออื่นๆ ด้วย เช่น ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี เป็นต้น