Lamivudine (ลามิวูดีน)

Lamivudine (ลามิวูดีน)

Lamivudine (ลามิวูดีน) เป็นยาต้านไวรัสในกลุ่มเอ็นอาร์ทีไอ (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors: NRTI) ที่ออกฤทธิ์ช่วยลดจำนวนเชื้อเอชไอวีในร่างกายของผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อเอชไอวี เช่น การติดเชื้อบางชนิด และมะเร็ง เป็นต้น โดยนำมาใช้ร่วมกับยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีชนิดอื่น เพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี รวมไปถึงนำมารักษาผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังด้วย หรืออาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

ยา Lamivudine มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ

1766 Lamivudine rs

เกี่ยวกับยา Lamivudine

กลุ่มยา ยาต้านไวรัส
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ ช่วยลดจำนวนเชื้อเอชไอวี และรักษาไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่ เด็ก
รูปแบบของยา ยารับประทาน

 

คำเตือนในการใช้ยา Lamivudine

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ และแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ ทั้งยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อใช้ด้วยตนเอง วิตามิน และสมุนไพรใด ๆ เพราะมียาหลายชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้
  • ไม่ควรใช้ยา Lamivudine รักษาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ชนิดอื่น หากกำลังใช้ยาอื่นที่มีส่วนประกอบของยานี้หรือยาเอ็มตริไซตาบีน
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากเป็นโรคตับหรือเคยรับการปลูกถ่ายตับ เป็นโรคไต เป็นโรคตับอ่อนอักเสบ หรือเคยใช้ยาชนิดอื่น ๆ รักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ เพราะยา Lamivudine อาจทำให้ผู้ป่วยบางรายมีภาวะเลือดเป็นกรดจากแลคติก ซึ่งมักเกิดขึ้นในเพศหญิง ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ผู้ที่เป็นโรคตับ และผู้ที่ใช้ยารักษาภาวะเอดส์มาเป็นเวลานาน
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานให้ระมัดระวังการใช้ยานี้ในรูปแบบสารละลาย เพราะอาจมีส่วนผสมของน้ำตาลประมาณ 3-4 กรัม ในปริมาณยาที่ใช้ต่อครั้ง
  • ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียก่อนใช้ยา โดยการรักษาจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีของทารกได้ และต้องใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะหากรักษาอย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้เชื้อถูกส่งผ่านไปยังบุตรได้
  • ไม่ควรให้นมบุตรในระหว่างที่ใช้ยา เพราะยาสามารถซึมผ่านสู่น้ำนมมารดาและอาจเป็นอันตรายต่อทารก

ปริมาณการใช้ยา Lamivudine

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

การติดเชื้อเอชไอวี

ผู้ใหญ่

รับประทานยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือ 300 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสชนิดอื่น

เด็ก

  • เด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไป และน้ำหนักตัวน้อยกว่า 14 กิโลกรัม ให้รับประทานยาชนิดสารละลายปริมาณ 4 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง
  • เด็กที่มีน้ำหนักตัว 14-21 กิโลกรัม ให้รับประทานยาชนิดเม็ดปริมาณ 75 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
  • เด็กที่มีน้ำหนักตัว 22-30 กิโลกรัม ให้รับประทานยาชนิดเม็ดปริมาณ 75 มิลลิกรัมในมื้อเช้า และ 150 มิลลิกรัมในมื้อเย็น ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสชนิดอื่น โดยปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/วัน
  • เด็กที่มีน้ำหนักตัว 30 กิโลกรัมขึ้นไป ให้รับประทานยาชนิดเม็ดปริมาณ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง โดยรับประทานยาปริมาณสูงสุดไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/วัน ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสชนิดอื่น

ไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง

ผู้ใหญ่

รับประทานยาปริมาณ 100 มิลลิกรัม/วัน สำหรับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย ให้รับประทานยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือ 300 มิลลิกรัม/วัน

เด็ก

เด็กอายุ 2-17 ปี ให้รับประทานยาปริมาณ 3 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 1 ครั้ง โดยรับประทานยาปริมาณสูงสุดไม่เกิน 100 มิลลิกรัม/วัน

การใช้ยา Lamivudine

  • ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
  • สามารถรับประทานยา Lamivudine พร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้
  • ควรวัดปริมาณยาชนิดสารละลายด้วยช้อนหรือถ้วยตวงสำหรับยาโดยเฉพาะ
  • ระหว่างที่ใช้ยา ผู้ป่วยอาจต้องรับการตรวจเลือดอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงตรวจการทำงานของไตและตับ
  • ผู้ที่ใช้ยารักษาไวรัสตับอักเสบบีอาจมีอาการเกี่ยวกับตับหลังหยุดใช้ยา ซึ่งแพทย์อาจต้องตรวจการทำงานของตับอีกหลายเดือนหลังจากหยุดใช้ยา
  • หากติดเชื้อเอชไอวีในระหว่างที่ใช้ยา Lamivudine ในการรักษาโรคตับอักเสบแล้วไม่ได้รับการรักษาทันที อาจทำให้เชื้อเอชไอวีดื้อต่อยาต้านไวรัสได้
  • หากพบว่าเด็กมีน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่ใช้ยานี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนปริมาณการใช้ยา
  • ห้ามแช่แข็งยา แต่ให้เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อนและความชื้น โดยปิดฝาบรรจุภัณฑ์ให้สนิททุกครั้งหลังใช้ยา

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Lamivudine

การใช้ยา Lamivudine อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น ปวดศีรษะ รูปร่างเปลี่ยนไป มีไข้ อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบาย หูติดเชื้อ ซึ่งอาจมีอาการเจ็บหูหรือได้ยินผิดปกติ จมูกหรือคอติดเชื้อ ซึ่งอาจมีอาการไอ จาม คัดจมูก เจ็บคอ เป็นต้น

ทั้งนี้ หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • อาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม คอบวม ลิ้นบวม และริมฝีปากบวม เป็นต้น
  • ภาวะเลือดเป็นกรดแลคติก อาจทำให้มีอาการบางอย่าง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา เย็นแขนและขา หายใจลำบาก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เหนื่อย อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น
  • ตับอ่อนผิดปกติ อาจมีอาการบางอย่าง เช่น ปวดท้องส่วนบนอย่างรุนแรงลามไปถึงด้านหลัง คลื่นไส้ อาเจียน และหัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น
  • ตับผิดปกติ อาจมีอาการบางอย่าง เช่น คลื่นไส้ ปวดท้องด้านขวา คัน เหนื่อย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม และตัวเหลืองตาเหลือง เป็นต้น

นอกจากนี้ ยา Lamivudine อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการติดเชื้อบางชนิดและเสี่ยงต่อโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โดยอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเกิดอาการขึ้นหลังจากใช้ยาไปเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และหากผู้ป่วยพบอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญดังต่อไปนี้ ต้องรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที

  • อาการที่บ่งบอกว่าเกิดการติดเชื้อ เช่น มีไข้ มีเหงื่อออก ต่อมน้ำเหลืองบวม มีแผลในปาก ท้องเสีย น้ำหนักลด และปวดท้อง เป็นต้น
  • เจ็บหน้าอก ไอแห้ง ๆ หายใจมีเสียงหวีด หายใจไม่อิ่ม เป็นเริมที่ริมฝีปาก มีแผลที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
  • หัวใจเต้นเร็ว หงุดหงิด ประหม่า อ่อนเพลีย มีปัญหาในการทรงตัว
  • มีปัญหาในการพูดหรือการกลืน ปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรง กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้
  • คอบวม ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไร้สมรรถภาพทางเพศและไม่สนใจเรื่องเพศ

 

อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน