ปวดหัวด้านหลัง สาเหตุและสัญญาณที่ควรไปพบแพทย์

อาการปวดหัวด้านหลังหรือปวดหัวบริเวณท้ายทอยมีหลายรูปแบบ เช่น ปวดแบบตื้อ ปวดแบบถูกบีบรัด หรือปวดจี๊ด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากสาเหตุทั่วไปที่ไม่เป็นอันตราย หรือจากสาเหตุร้ายแรงที่ควรได้รับการรักษาจากแพทย์  ซึ่งหากเราทราบว่าอาการปวดหัวด้านหลังที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร ก็จะสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม

ผู้ที่ปวดหัวด้านหลังอาจมีอาการอื่นร่วมด้วยขณะปวดหัว เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว โดยแพทย์มักจะพิจารณาอาการเหล่านี้ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม อย่างลักษณะของอาการปวดหรือตำแหน่งที่เกิดอาการปวด เพื่อช่วยให้สามารถวินิจฉัยสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวด้านหลังได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

ปวดหัวด้านหลัง สาเหตุและสัญญาณที่ควรไปพบแพทย์

ปวดหัวด้านหลัง เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง

อาการปวดหัวด้านหลัง อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

ปวดหัวจากความเครียด (Tension Type Headaches)

อาการปวดหัวที่เกิดจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ หรือเรียกสั้น ๆ ว่าอาการปวดหัวจากความเครียด เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการปวดหัวด้านหลัง โดยมักเกิดอาการปวดที่บริเวณหัวด้านหลังและหัวด้านขวาร่วมกัน จะมีลักษณะอาการปวดแบบตึงแน่น คล้ายถูกบีบรัดหรือกดลงมาบริเวณหนังศีรษะและลำคอ แต่มักเป็นอาการปวดที่ไม่รุนแรง และมักไม่มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย

อาการไมเกรน 

หลายคนอาจเข้าใจว่าอาการไมเกรนมีแค่อาการปวดหัวด้านซ้ายหรือด้านขวาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาการไมเกรนอาจรวมถึงอาการปวดหัวด้านหลังด้วยเช่นกัน อาการปวดหัวไมเกรนจะมีลักษณะการปวดแบบตุบ ๆ เป็นจังหวะอย่างรุนแรง โดยอาจเริ่มจากอาการปวดหัวด้านซ้าย จากนั้นจะปวดเคลื่อนรอบ ๆ ขมับไปทางหัวด้านหลัง ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือไวต่อแสง เสียง และกลิ่นด้วย

การจัดระเบียบร่างกายที่ไม่เหมะสม 

การจัดระเบียบร่างกายที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งหลังค่อม ไหล่ห่อ หรือการนอนหนุนหมอนที่สูงเกินไป มักจะทำให้เกิดอาการตึงกล้ามเนื้อบริเวณหัวด้านหลัง กราม ลำคอ ไหล่ และหลังส่วนบน จนอาจเกิดการกดทับเส้นประสาท และส่งให้เกิดอาการปวดหัวตุบ ๆ บริเวณฐานกะโหลกศีรษะหรือบริเวณหัวด้านหลังตามมาได้

ปวดหัวจากความดันน้ำไขสันหลังในสมองต่ำ

ภายในร่างกายของเรามีสิ่งที่เรียกว่าน้ำไขสันหลัง โดยจะมีลักษณะเป็นของเหลวใสที่คอยหุ้มสมองและไขสันหลังอยู่ ซึ่งหากน้ำไขสันหลังเกิดการรั่วไหลออกมาจากการฉีกขาดของเยื่อหุ้มไขสันหลัง หรือจากสาเหตุอื่น ๆ จะทำให้ความดันของน้ำไขสันหลังในสมองลดต่ำลง และเกิดอาการปวดหัวด้านหลังตามมา

อาการปวดหัวด้านหลังที่เกิดจากความดันน้ำไขสันหลังในสมองต่ำ มักเป็นอาการปวดหัวอย่างรุนแรงที่หัวด้านหลังและลำคอ โดยอาการมักจะแย่ลงเมื่อยืนหรือนั่ง และในบางคนก็อาจมีอาการดีขึ้นเมื่อนอนพักประมาณ 30 นาที อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวชนิดนี้ควรได้รับการรักษาจากแพทย์

ปวดหัวจากเส้นประสาทต้นคออักเสบ 

อาการปวดหัวจากเส้นประสาทต้นคออักเสบ จะมีลักษณะอาการปวดแบบเสียวแปลบอย่างรุนแรง โดยเริ่มจากบริเวณหัวด้านหลังหรือท้ายทอย และอาจปวดร้าวตามหนังศีรษะมาจนถึงบริเวณหัวด้านหน้าหรือกลางหน้าผาก นอกจากนี้ อาจมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวคอ ปวดกระบอกตา มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น หูอื้อ หรือคัดจมูกร่วมด้วย

ปวดหัวจากความผิดปกติของโครงสร้างบริเวณคอ 

ความผิดปกติของโครงสร้างบริเวณคอ มักเป็นความผิดปกติของกล้ามเนื้อ หมอนรองกระดูก เอ็นยึดข้อต่อ หรือเยื่อหุ้มไขสันหลังบริเวณคอ เช่น ข้ออักเสบ เส้นประสาทถูกกดทับ หรือกล้ามเนื้อคอได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมักจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวตามมา 

อาการปวดหัวชนิดนี้จะเริ่มจากปวดหัวด้านหลังหรือบริเวณลำคอ และกระจายขึ้นมาบริเวณขมับหรือหัวด้านหน้า อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นเมื่อนอนราบ และอาจมีอาการปวดตึงบริเวณไหล่หรือแขนร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวในลักษณะนี้ควรได้รับการรักษาจากแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา

ปวดหัวด้านหลังอันตรายไหม อาการแบบไหนควรไปพบแพทย์

อาการปวดหัวด้านหลังส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องรักษา หรือหายได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงหรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม

ตัวอย่างอาการที่ควรไปพบแพทย์ มีดังนี้

  • มีอาการปวดหัวเกิดขึ้นหลังจากได้รับบาดเจ็บบริเวณหัว เช่น เกิดการกระทบกระแทก
  • มีอาการปวดหัวต่อเนื่องนานกว่า 2–3 วัน และอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นแย่ลงเรื่อย ๆ
  • มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีอาการกดแล้วเจ็บบริเวณขมับด้วย
  • มีการอาการปวดหัวร่วมกับอาการเวียนหัวอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ทรงตัวลำบาก หรือเสียสมดุล
  • มีอาการปวดหัวร่วมกับอาการปวดหรือตึงบริเวณคอ มีไข้ สับสน และการตอบสนองของร่างกายช้าลง
  • มีอาการปวดหัวร่วมกับอาการอ่อนแรง ชาตามร่างกาย พูดไม่ชัด และเกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่อาจอันตรายแก่ถึงชีวิต

แม้อาการปวดหัวด้านหลังส่วนใหญ่จะเกิดจากสาเหตุทั่วไปที่ไม่เป็นอันตราย แต่หากปล่อยไว้และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็อาจนำไปสู่การเกิดอาการปวดหัวเรื้อรัง หรืออาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น แม้จะมีอาการปวดหัวแค่เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรที่จะละเลยอย่างเด็ดขาด