การวินิจฉัยอาการ ปวดหัว
สำหรับการวินิจฉัยอาการปวดหัว สิ่งสำคัญที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยอาการได้อย่างแม่นยำคือการสอบถามประวัติทางการแพทย์ และอาการปวดหัวที่ผู้ป่วยเจอ ผู้ป่วยจึงควรสังเกตตนเองในเบื้องต้นและจดจำรายละเอียดของอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น อาการของปวดหัวเกิดขึ้นช่วงใดในระหว่างวัน ความรุนแรงและช่วงเวลา ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้ง่าย กิจกรรมที่ทำแล้วมักเกิดอาการปวดหัวตามมา ระยะเวลาในการนอนก่อนเกิดอาการ สภาวะอารมณ์และจิตใจ อาหารที่รับประทานในช่วง 24 ชั่วโมงแรกก่อนเกิดอาการ วันที่เป็นประจำเดือนในกรณีที่เป็นผู้หญิง หรือประวัติอาการปวดหัวของบุคคลในครอบครัว สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถค้นหาสาเหตุและเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะกับประเภทของอาการปวดหัวได้อย่างถูกต้อง
หลังจากแพทย์ได้ซักถามประวัติทางการแพทย์และอาการปวดหัวของผู้ป่วย จากนั้นจะมีการตรวจร่างกายทั่วไป และตรวจคัดกรองทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น
การตรวจเลือด เป็นการตรวจสารต่าง ๆ ในเลือดทางห้องปฏิบัติ เพื่อช่วยให้แพทย์ทราบข้อมูลที่เชื่อมโยงกับประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกายของผู้ป่วยมากขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อในสมองหรือกระดูกสันหลัง หลอดเลือดอักเสบ หรือสารพิษที่กระทบต่อระบบประสาทจนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น เช่น อาการปวดศีรษะจากหลอดเลือดบริเวณขมับอักเสบทำให้เกิดอาการปวดแปล๊บเป็นครั้งคราว ซึ่งตรวจพบได้จากค่า ESR (Erythrocyte Sediment Rate) ที่สูงขึ้น เนื่องจากเกิดการอักเสบของหลอดเลือดแดงข้างใดข้างหนึ่ง การตรวจดูความสมดุลของเกลือแร่และน้ำที่บ่งบอกการทำงานของอวัยวะหลายส่วน ทั้งตับ ไต หรือต่อมไทรอยด์ หรือการตรวจหาทางพิษวิทยาในผู้ป่วยที่มีประวัติการติดแอลกอฮอล์ การใช้ยา หรือสารเสพติด เพื่อทดสอบความเป็นพิษของยา สารเคมี หรือเชื้อโรคนั้น ๆ
การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณศีรษะ (Computerized Tomography: CT Scan) หรือที่รู้จักกันในชื่อซีที สแกน เป็นการถ่ายภาพรังสีด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ภาวะเลือดออก อาการบวม หรือเนื้องอกภายในสมองและกระโหลกศีรษะ รวมไปถึงภาวะสมองขาดเลือด เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือหลอดเลือดแตก ในบางกรณีอาจใช้เทคนิคการฉีดสีเมื่อตรวจเส้นเลือดสมอง เพื่อดูการโป่งพองของหลอดเลือด
การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าบริเวณศีรษะ (Magnetic Resonance Imaging: MRI) หรือการตรวจเอ็มอาร์ไอ โดยแพทย์จะใช้ตรวจดูโครงสร้างของสมองและเยื่อหุ้มสมอง วิธีนี้มีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่าการตรวจซีที สแกน แต่มีราคาที่ค่อนข้างสูง มีบริการเฉพาะในโรงพยาบาลบางแห่งเท่านั้น และมีเงื่อนไขในการตรวจมากกว่า เช่น ผู้ที่ใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะในร่างกายไม่สามารถเข้ารับการตรวจได้ และใช้เวลาในการตรวจนานกว่าการตรวจซีที สแกน
การเจาะน้ำไขสันหลังหรือการเจาะหลัง (Lumbar Puncture) โดยส่วนใหญ่ วิธีนี้จะทำหลังตรวจเอ็มอาร์ไอเมื่อตรวจไม่พบภาวะเลือดออก การบวม หรือเนื้องอกในสมอง โดยแพทย์จะเจาะน้ำในโพรงสมองและไขสันหลังจากบริเวณหลังส่วนล่างออกมาตรวจดูภาวะการตกตะกอนเลือด (ESR) หรือการอักเสบ (C-Reactive) การติดเชื้อที่อาจเกิดจากแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส หรือวัณโรค และยังช่วยให้แพทย์วินิจฉัยภาวะความดันในโพรงสมองสูงได้จากแรงดันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยไม่พบความผิดปกติอื่นใด (Idiopathic intracranial hypertension)