Allopurinol (อัลโลพูรินอล)
Allopurinol (อัลโลพูรินอล) เป็นยาที่ช่วยลดการสร้างกรดยูริคในร่างกาย มักใช้รักษาในผู้ป่วยโรคเก๊าท์ นิ่วในไต และใช้เพื่อป้องกันการเพิ่มระดับกรดยูริคในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กำลังรับการรักษาเคมีบำบัด เนื่องจากกรดยูริคจะถูกปล่อยออกมาจากเซลล์มะเร็งที่ตายแล้ว ทั้งนี้ ปริมาณกรดยูริคที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคเก๊าท์และเกิดนิ่วในไตได้
เกี่ยวกับยา Allopurinol
กลุ่มยา | ยาสามัญ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ลดการสร้างกรดยูริคในร่างกาย |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน ยาฉีดเข้าเส้นเลือด |
คำเตือนของการใช้ยา Allopurinol
- ห้ามขับขี่ยานพาหนะ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงในขณะใช้ยา เพราะยาชนิดนี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม กระทบต่อกระบวนการคิด และการมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ
- ห้ามใช้ยาหากเคยมีอาการแพ้ยาชนิดนี้ และควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยมีอาการแพ้ยา หรือแพ้สารชนิดใดอยู่ เพราะส่วนประกอบของยาอาจมีสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดอาการแพ้ได้
- ต้องใช้ยาตามปริมาณและวิธีการที่แพทย์กำหนดเท่านั้น โดยห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ หรือห้ามใช้ยาชนิดนี้ร่วมกับผู้ป่วยคนอื่น
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยกำลังป่วย หรือเคยมีประวัติป่วยด้วยภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยกำลังใช้ยา อาหารเสริม หรือกำลังได้รับการรักษาชนิดใดอยู่ เพราะแพทย์อาจต้องเปลี่ยนยาหรือปรับปริมาณการใช้ยารักษาเหล่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงและผลกระทบที่เป็นอันตรายในขณะใช้ยา Allopurinol เช่น อะซาไทโอพรีน (Azathioprine) คลอร์โพรพาไมด์ (Chlorpropamide) ไซโคลสปอรีน (Cyclosporine) เมอร์แคปโตพิวรีน (Mercaptopurine) ยาปฏิชีวนะอย่างแอมพิซิลิน (Ampicillin) อะมอกซี่ซิลิน (Amoxicillin) ยาลดการจับตัวของเลือดอย่างไดคูมารอล (Dicoumarol) และวาร์ฟาริน (Warfarin) หรือยาขับปัสสาวะ (Diuretic) เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเป็นการลดประสิทธิภาพของยา
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยกำลังวางแผนมีบุตร กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตร เพราะการใช้ยาอาจส่งผลต่อทารกได้ ผู้ป่วยจึงต้องพูดคุยกับแพทย์ถึงผลดีผลเสียจากการใช้ยาในระหว่างนี้ และใช้ยาต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยอื่น ๆ หรือผู้ป่วยติดเชื้อต่าง ๆ ในขณะใช้ยา เพราะยา Allopurinol สามารถลดจำนวนเซลล์เม็ดเลือดที่ทำหน้าที่ต้านการติดเชื้อลงได้ ผู้ป่วยจึงมีความเสี่ยงสูงในการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการป่วยและติดเชื้อ รวมทั้งเสี่ยงต่อภาวะมีเลือดออกได้ง่ายขึ้นจากอาการบาดเจ็บต่าง ๆ แพทย์อาจต้องทำการตรวจเช็คผลเลือดของผู้ป่วยอยู่เสมอ
ปริมาณการใช้ยา Allopurinol
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Allopurinol เพื่อรักษาโรคเก๊าท์
ผู้ใหญ่
ทั่วไป
ยารับประทาน วันละครั้ง ครั้งละ 100 มิลลิกรัม/วัน โดยแพทย์อาจเพิ่มปริมาณยาขึ้น 100 มิลลิกรัม ทุก ๆ สัปดาห์ จนกว่าระดับกรดยูริคในร่างกายจะน้อยกว่าหรือเท่ากับ 6 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ทั้งนี้ แพทย์อาจพิจารณาปริมาณและการใช้ยาตามระดับความรุนแรงเป็นรายกรณีด้วย เช่น
โรคเก๊าท์ระดับไม่รุนแรง
ยารับประทาน วันละครั้ง ครั้งละ 200-300 มิลลิกรัม/วัน
โรคเก๊าท์ระดับรุนแรง
ยารับประทาน ปริมาณเฉลี่ย 400-600 มิลลิกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทานวันละหลายครั้ง
- ควรรับประทานยาหลังมื้ออาหาร เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร
- การใช้ยาในปริมาณมากกว่า 300 มิลลิกรัม/วัน ควรแบ่งรับประทานเป็นหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งโดยทั่วไปมักแบ่งออกเป็น 3 ครั้ง/วัน เพื่อป้องกันการเกิดเก๊าท์แบบข้ออักเสบเฉียบพลัน
- ปริมาณยาน้อยที่สุดที่จะส่งผลต่อการรักษา คือ 100-200 มิลลิกรัม/วัน
- ปริมาณยาสูงสุดที่ใช้รักษาผู้ป่วยต้องไม่เกิน 800 มิลลิกรัม/วัน
- ยาจะส่งผลให้ปริมาณกรดยูริคลดลงจนอยู่ในระดับปกติภายใน 1-3 สัปดาห์
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Allopurinol เพื่อรักษาภาวะอาการที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในไต
ผู้ใหญ่
ยารับประทาน
รับประทานวันละครั้ง ครั้งละ 200-300 มิลลิกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทานเป็นหลาย ๆ ครั้ง
- ก่อนใช้ยา ควรประเมินความเสี่ยงและประสิทธิผลทางการรักษาจากการใช้ยาชนิดนี้อย่างรอบคอบ
- ควรปรับปริมาณยาโดยพิจารณาจากระดับกรดยูริคที่ตรวจพบในชุดตรวจเก็บปัสสาวะที่ขับออกมาภายใน 24 ชั่วโมง
- ปริมาณยาสูงสุดที่ใช้รักษาต้องไม่เกิน 750 มิลลิกรัม/วัน ในผู้ป่วยเพศหญิง และ 800 มิลลิกรัม/วัน ในผู้ป่วยเพศชาย
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Allopurinol เพื่อรักษาอาการระดับยูริคสูงในผู้ป่วยที่ทำเคมีบำบัด
ผู้ใหญ่
ยารับประทาน
เริ่มจากรับประทานปริมาณเฉลี่ย 600-800 มิลลิกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทานวันละหลายครั้ง จากนั้น แพทย์จะพิจารณาปรับปริมาณยาที่เหมาะสมกับระดับกรดยูริคในร่างกาย ปริมาณยาสูงสุดต้องไม่เกิน 800 มิลลิกรัม/วัน
ยาฉีดเข้าเส้นเลือด
ฉีดยาครั้งละ 200-400 มิลลิกรัม/พื้นที่ผิวกายเป็นตารางเมตร/วัน หรือให้ยาหยดซึมเข้าสู่กระแสเลือด โดยแบ่งเป็นทุก ๆ 6, 8 หรือ12 ชั่วโมง ที่ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัม/วัน
เด็ก
ยารับประทาน
เด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี 150 มิลลิกรัม/วัน วันละครั้ง หรือแบ่งรับประทานหลาย ๆ ครั้ง
เด็กอายุ 6-10 ปี 300 มิลลิกรัม/วัน วันละครั้ง หรือแบ่งรับประทานหลาย ๆ ครั้ง
เด็กอายุมากกว่า 10 ปี 600-800 มิลลิกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทานหลาย ๆ ครั้ง
2 วันให้หลัง แพทย์จะพิจารณาปรับปริมาณยาที่เหมาะสมกับระดับกรดยูริคในร่างกายต่อไป
ยาฉีดเข้าเส้นเลือด
ฉีดยาครั้งละ 200-400 มิลลิกรัม/พื้นที่ผิวกายเป็นตารางเมตร/วัน หรือให้ยาหยดซึมเข้าสู่กระแสเลือด โดยแบ่งเป็นทุก ๆ 6, 8 หรือ 12 ชั่วโมง ที่ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 600 มิลลิกรัม/วัน
- การใช้ยารับประทานในปริมาณมากกว่า 300 มิลลิกรัม/วัน ควรแบ่งรับประทานเป็นหลาย ๆ ครั้ง และควรรับประทานยาหลังมื้ออาหาร เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร
- ควรใช้ยาฉีดเข้าเส้นเลือดต่อเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานยาได้
- ใช้ยาเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งผู้รับการรักษาแบบเคมีบำบัดที่อาจทำให้มีระดับกรดยูริคในร่างกายสูง หากเป็นไปได้ ควรเริ่มใช้ยาเพื่อป้องกันอาการระดับกรดยูริคสูงตั้งแต่ก่อนทำเคมีบำบัด 1-2 วัน และเลิกใช้ยาเมื่อพบว่าปริมาณกรดยูริคในร่างกายอยู่ในระดับปกติแล้ว
- ผู้ป่วยควรดื่มน้ำหรือรับสารน้ำเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้สามารถขับปัสสาวะออกมาให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร และปัสสาวะที่ขับออกมาควรมีค่าความเป็นกรด-เบส อยู่ในระดับกลาง หรือมีความเป็นด่างเล็กน้อย
การใช้ยา Allopurinol
สำหรับยารับประทาน ต้องรับประทานในปริมาณและวิธีที่แพทย์กำหนดเท่านั้น ดื่มน้ำเปล่าเต็มแก้วตามทุกครั้งหลังใช้ยา และควรดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันการเกิดนิ่ว หรือตามปริมาณที่แพทย์กำหนด
หากลืมรับประทานยาในรอบเวลาหนึ่ง ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงช่วงเวลาในการรับประทานยารอบถัดไป ให้ข้ามยารอบนี้แล้วรับประทานยาของรอบใหม่แทน โดยใช้ยาตามปริมาณปกติ ไม่เพิ่มปริมาณยา ไม่รับประทานยาเกินประมาณที่กำหนดในแต่ละครั้ง
การใช้ยา Allopurinol ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ ในขณะใช้ยานี้ แพทย์อาจต้องตรวจผลเลือดอยู่เสมอเพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อ ผู้ป่วยจึงต้องไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามนัดหมาย
ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาทันทีหากพบสัญญาณของอาการแพ้ยา อย่างมีผดผื่นขึ้นที่ผิวหนัง หน้าบวม ปากบวม หายใจติดขัด หรือมีอาการที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ท้องร่วง
ส่วนการเก็บรักษายา ควรเก็บบรรจุภัณฑ์ไว้ในที่มิดชิดที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อน ความชื้น และพ้นจากมือเด็ก และกำจัดยาทิ้งไปหากไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาแล้ว
นอกจากนี้ ควรเตรียมรายชื่อยารักษาหรืออาหารเสริมที่กำลังใช้อยู่ในปัจจุบันไว้กับตัวผู้ป่วย เพราะอาจเป็นประโยชน์ต่อแพทย์ทางการรักษาในกรณีเร่งด่วน
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Allopurinol
การใช้ยา Allopurinol ย่อมเป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์ ว่ามีผลดีต่อตัวผู้ป่วยมากกว่าความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย และผู้ป่วยจำนวนมากก็ไม่ได้เผชิญกับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยา Allopurinol คือ ผู้ป่วยสูงวัย เนื่องจากสมรรถภาพในการทำงานของไตลดลงตามวัย ทำให้ความสามารถในการขับยาและของเสียออกมาทางปัสสาวะน้อยลงไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ใช้ยา Allopurinol อาจพบกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เช่น
- ปวดตามข้อต่อต่าง ๆ เช่น ข้อมือ ข้อต่อนิ้วเท้า หัวเข่า
- มีอาการข้อยึด ตึงแข็ง หรือบวมตามข้อต่อ
- มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
- ง่วงซึม
- ปวดท้อง รู้สึกเหมือนท้องไส้ปั่นป่วน
- คลื่นไส้วิงเวียน
- ท้องร่วง
หากพบอาการดังกล่าวข้างต้น แล้วอาการที่เกิดขึ้นไม่หายไป ไม่ทุเลาลง หรืออาการหนักขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการ
แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก แต่ผู้ป่วยบางรายอาจเผชิญกับผลข้างเคียงที่รุนแรงและเป็นอันตรายได้ โดยผู้ป่วยควรไปพบแพทย์หรือขอความช่วยเหลือทันทีหากพบอาการดังต่อไปนี้
- น้ำหนักตัวลดลงผิดปกติ
- มีอาการเหน็บชาบริเวณแขนและขา
- มีรอยช้ำ ห้อเลือด หรือมีเลือดออกได้ง่าย
- ปวดตา ทัศนวิสัยในการมองเห็นเปลี่ยนไป
- ภาวะดีซ่าน มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- คลื่นไส้อาเจียนอยู่ตลอดเวลา
- มีอาการแพ้ยา เช่น มีผดผื่นขึ้นที่ผิวหนัง หน้าบวม ปากบวม หายใจติดขัด เกิดอาการของ Steven Johnson Syndrome อาการผื่นคันทางผิวหนัง
- มีอาการที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้สูง เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ท้องร่วง
- มีอาการที่เป็นสัญญาณปัญหาการทำงานของไต เช่น ปัสสาวะมีสีที่เปลี่ยนไป ปัสสาวะมีเลือดปน รู้สึกปวดในขณะปัสสาวะ