สมุนไพรรักษาโรคเก๊าท์ บรรเทาอาการปวดข้อได้จริงหรือ

หลายคนอาจเชื่อว่าการรับประทานสมุนไพรและอาหารบางชนิดอาจช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคเก๊าท์ได้ เช่น ผักกาดน้ำเล็ก เชอร์รี่ หรือกาแฟ เป็นต้น แต่ผู้ป่วยโรคนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจบริโภคอาหารชนิดใด ๆ เพื่อรักษาโรค เพราะการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะกับสุขภาพของตนเองอาจทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้นได้

สมุนไพรรักษาโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์กับความเชื่อด้านสมุนไพรบำบัด

เก๊าท์ คือ โรคข้ออักเสบที่เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ส่งผลให้กรดยูริกสะสมในร่างกายจนตกผลึกเป็นเกลือยูเรตอันเป็นสาเหตุของข้ออักเสบ บวมแดง และรู้สึกปวด ซึ่งผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการไม่ให้รุนแรงขึ้นและบรรเทาอาการปวดตามข้อได้โดยปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต รับประทานอาหารที่เหมาะกับสุขภาพของตนเอง และรับประทานยารักษาภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีงานวิจัยบางส่วนพบว่าการรับประทานสมุนไพรและอาหารบางชนิด อย่างผักกาดน้ำเล็ก เชอร์รี่ หรือกาแฟ อาจช่วยลดระดับกรดยูริกในร่างกายและบรรเทาอาการปวดตามข้อได้

เชอร์รี่ ผลไม้ที่หลายคนชื่นชอบและเชื่อว่าอาจมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเก๊าท์ได้ โดยมีงานวิจัยหนึ่งศึกษาคุณสมบัติของเชอร์รี่ในด้านนี้ด้วยการให้ผู้หญิงสุขภาพดีอายุ 22-40 ปี จำนวน 10 ราย รับประทานเชอร์รี่ 280 กรัมขณะท้องว่าง และเปรียบเทียบปริมาณยูเรตในเลือดและในปัสสาวะช่วงก่อนและหลังรับประทานเชอร์รี่ ผลปรากฏว่าปริมาณยูเรตในเลือดและในปัสสาวะลดลงหลังจากรับประทานเชอร์รี่

สอดคล้องกับอีกหนึ่งงานวิจัยที่ให้อาสาสมัครผู้เป็นโรคเก๊าท์ 633 รายบันทึกข้อมูลถึงวันที่เริ่มมีอาการของโรคเก๊าท์ อย่างอาการปวดข้อที่เกิดขึ้น ลักษณะและความรุนแรงของอาการ ยาที่รับประทาน รวมถึงการรับประทานเชอร์รี่หรือสารสกัดจากเชอร์รี่ในช่วง 2 วันก่อนเกิดอาการปวด หลังผ่านไป 1 ปี เมื่อนำข้อมูลที่ได้มาเปรียบเทียบกัน พบว่าการรับประทานเชอร์รี่ช่วยลดโอกาสการเกิดอาการปวดข้อจากเก๊าท์กำเริบลงได้ 35 เปอร์เซ็นต์ และการรับประทานเชอร์รี่ควบคู่กับยาอัลโลพูรินอลช่วยลดโอกาสเกิดอาการปวดข้อได้ถึง 75 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้รับประทานในลักษณะดังกล่าว

แม้ผลลัพธ์จะเป็นไปในทางบวก แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์คุณสมบัติของเชอร์รี่ในด้านนี้ได้อย่างชัดเจนนัก จึงจำเป็นต้องบทสรุปที่แน่ชัดในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ต่อไป ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเชอร์รี่เพื่อรักษาโรคเก๊าท์ ควรรับประทานแต่ในปริมาณที่พอเหมาะ และปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพมากที่สุด

  • เลือกซื้อเชอร์รี่ที่เก็บอยู่ในที่แห้งและเย็น โดยผลเชอร์รี่ควรมีขนาดใหญ่ มีเนื้อแน่น มันวาว และมีสีเข้ม
  • เก็บเชอร์รี่ไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา เพื่อคงความสดใหม่ไว้ให้นานที่สุด
  • ล้างเชอร์รี่ก่อนนำมารับประทานทุกครั้ง

กาแฟ ในปัจจุบันมีงานวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟที่มีสารคาเฟอีนระดับปกติในปริมาณที่พอเหมาะอาจช่วยรักษาโรคเก๊าท์ได้ โดยงานวิจัยหนึ่งได้ศึกษาความสัมพันธ์ของการดื่มกาแฟกับปริมาณกรดยูริกในเลือด เมื่อแบ่งอาสาสมัครที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 14,758 รายออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ดื่มกาแฟ กับกลุ่มที่ดื่มชา พบว่ากลุ่มที่ดื่มกาแฟ 4-5 แก้วต่อวัน (โดยทั่วไป กาแฟ 1 แก้วจะมีคาเฟอีนประมาณ 80 มิลลิกรัม) มีระดับกรดยูริกในเลือดต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ 0.26 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และกลุ่มที่ดื่มกาแฟวันละ 6 แก้วขึ้นไปจะมีระดับกรดยูริกในเลือดต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มกาแฟถึง 0.43 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ส่วนกลุ่มที่ดื่มชากลับไม่พบความแตกต่างของระดับกรดยูริกแต่อย่างใด จึงคาดว่าคุณสมบัติในการรักษาโรคเก๊าท์ของกาแฟจึงไม่ได้เป็นผลมาจากคาเฟอีน แต่อาจเป็นเพราะสารชนิดอื่นในกาแฟ

ส่วนอีกหนึ่งงานวิจัยที่ศึกษาคุณสมบัติของกาแฟในการป้องกันโรคเก๊าท์ โดยใช้แบบสอบถามกับผู้ชายที่ไม่มีประวัติเป็นโรคเก๊าท์มาก่อนจำนวน 45,869 ราย และติดตามผลเป็นเวลา 12 ปี พบว่ากลุ่มที่ดื่มกาแฟทุกวัน ทั้งกาแฟธรรมดาและกาแฟไร้คาเฟอีน ทำให้มีโอกาสเกิดโรคเก๊าท์ต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มกาแฟ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้จำเป็นต้องรอผลลัพธ์งานวิจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของกาแฟก่อนนำมารักษาอาการของโรคเก๊าท์ นอกจากนั้น ผู้ป่วยควรระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะการดื่มกาแฟในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยผู้บริโภคควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพใด ๆ อย่างผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่มกาแฟ เพื่อให้แพทย์แนะนำปริมาณการดื่มกาแฟที่เหมาะสมกับสุขภาพของตน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟที่ใส่น้ำตาล ครีมเทียม หรือผสมสารปรุงแต่งใด ๆ
  • ศึกษาปริมาณกาแฟที่ไม่ควรบริโภคเกินต่อวัน โดยผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดียกเว้นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรได้รับคาเฟอีนมากเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับกาแฟประมาณ 5 แก้ว เพราะคาเฟอีนในกาแฟอาจก่อให้เกิดการเสพติด หากหยุดดื่มหรือลดปริมาณการดื่มกาแฟอย่างฉับพลัน อาจทำให้เกิดภาวะถอนยา เช่น ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า กระวนกระวาย เป็นต้น

ผักกาดน้ำเล็ก สมุนไพรพื้นบ้านแถบเอเชียตะวันออกที่หลายคนเชื่อว่ามีสรรพคุณรักษาโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคตับ โรคในทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันมีงานวิจัยที่นำสารสกัดจากผักกาดน้ำเล็กมาทดลองกับหนูที่ถูกฉีดสารเพื่อทำให้มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ผลปรากฏว่าระดับกรดยูริกในร่างกายลดลงอย่างเห็นได้ชัด จึงคาดว่าผักกาดน้ำเล็กอาจมีผลรักษาโรคเก๊าท์ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม งานค้นคว้าดังกล่าวเป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการทดลองกับมนุษย์เพิ่มเติมต่อไป เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสมุนไพรชนิดนี้ก่อนนำมาประยุกต์ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเก๊าท์

ความปลอดภัยในการใช้สมุนไพรและอาหารเพื่อรักษาโรคเก๊าท์

แม้ปัจจุบันจะมีงานวิจัยพบว่า สมุนไพรหรืออาหารบางชนิดอาจช่วยลดระดับกรดยูริกในร่างกาย และอาจช่วยลดอาการปวดข้อจากโรคเก๊าท์ได้ แต่ผู้ป่วยก็ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนตัดสินใจรับประทานสมุนไพรหรืออาหารชนิดใด ๆ ก็ตามเพื่อหวังรักษาโรคนี้ นอกจากนั้น การรักษาโรคเก๊าท์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดมักจำเป็นต้องรักษาหลายวิธีร่วมกัน โดยผู้ป่วยควรควบคุมอาหารอย่างเหมาะสม รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะกับสุขภาพของตน

การรักษาโรคเก๊าท์ด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน

แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์รับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อ ป้องกันการเกิดอาการปวด รวมทั้งป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นด้วย โดยผู้ป่วยแต่ละรายอาจได้รับยาชนิดที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสุขภาพและดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก

นอกจากนี้ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างอาจช่วยให้อาการของโรคเก๊าท์ทุเลาลงได้ ดังนี้

  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล สัตว์ปีก เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีรสหวานมาก ๆ อย่างน้ำอัดลม
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ และพยายามรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน