มะขามป้อมกับคุณประโยชน์ทางยา

มะขามป้อม เป็นพืชที่ขึ้นทั่วไปในอินเดีย ตะวันออกกลาง และบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อที่เรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค ถือเป็นพืชที่สำคัญในด้านการแพทย์อายุรเวทแบบดั้งเดิมและการดูแลสุขภาพหลายแขนงที่มีมานานนับร้อยปี โดยใช้ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของมะขามป้อม แต่ที่นิยมใช้ในการทำยามากที่สุดคือผลมะขามป้อม

มะขามป้อม

ด้วยสรรพคุณของมะขามป้อมที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเชื่อกันว่ามีฤทธิ์ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ต้านการอักเสบ ช่วยรักษาโรคหลากหลาย เช่น ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง โรคเบาหวาน ตับอ่อนอักเสบ โรคมะเร็ง ท้องเสีย โรคทางสายตา ปวดข้อ ถ่ายเป็นเลือด โรคอ้วน โรคข้อเข่าเสื่อม หรือฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

อย่างไรก็ตาม หลักฐานงานวิจัยของมะขามป้อมต่อการรักษาโรคหรือภาวะใด ๆ ยังมีอยู่จำกัด ตามข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการแพทย์ทางธรรมชาติ (Natural Medicines Comprehensive Database) ได้ระบุประสิทธิภาพของมะขามป้อมต่อการรักษาโรคตามหลักฐานการศึกษาวิจัยในปัจจุบันส่วนใหญ่พบว่า ยังไม่เพียงพอต่อการบ่งบอกประสิทธิภาพ ซึ่งตัวอย่างการศึกษาการใช้มะขามป้อมในการรักษาโรคมีดังนี้

ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด การแพทย์ทางเลือกด้านอายุรเวท (Ayurveda) ระบุคุณประโยชน์ของมะขามป้อมไว้หลายด้าน รวมถึงสรรพคุณช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เนื่องจากอุดมไปด้วยสารสำคัญหลายตัว โดยเฉพาะสารเพกทิน (Pectin) และสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่มีองค์ประกอบทางเคมีและมีรายงานว่ามีฤทธิ์ช่วยลดไขมันในเลือด

จากการศึกษาชิ้นเก่าเกี่ยวกับคุณสมบัติการลดไขมันในเลือดของมะขามป้อม โดยทดลองให้กลุ่มผู้ชายสุขภาพปกติและกลุ่มผู้ชายที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง อายุ 35-55 ปี รับประทานอาหารเสริมจากมะขามป้อมเป็นเวลาติดต่อกัน 28 วัน ผลการทดสอบของทั้ง 2 กลุ่มมีระดับคอเลสเตอรอลลดลง แต่หลังจากหยุดรับประทานอาหารเสริมไป 2 สัปดาห์กลับพบว่ากลุ่มผู้ชายที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงมีระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเกือบเท่าระดับเดิมก่อนเริ่มการรับประทาน

สำหรับงานวิจัยในปัจจุบันได้ทดสอบคุณสมบัติผลมะขามป้อมในการช่วยลดลดคอเลสเตอรอลในเลือด กลุ่มการทดลองเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานและคนปกติที่รับประทานสารสกัดจากผลมะขามป้อมในปริมาณแตกต่างกัน ได้แก่ 1 กรัมต่อวัน 2 กรัมต่อวัน และ 3 กรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 21 วัน หลังจากวัดผลด้วยการตรวจเลือดพบว่า การรับประทานสารสกัดจากผลมะขามป้อมเป็นปริมาณ 2 และ 3 กรัมต่อวันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและไตรกลีเซอไรด์อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังเพิ่มระดับไขมันชนิดดีของทั้งกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานและคนปกติ แต่มีเพียงเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่รับประทานสารสกัดจากผลมะขามป้อมวันละ 3 กรัมต่อวันเท่านั้นที่พบว่ามีระดับคอเลสเตอรอลรวมลดลง   

แม้ว่ายังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ของสารสำคัญในมะขามป้อมที่แน่ชัด แต่จากการศึกษาคุณสมบัติของมะขามป้อมพบว่า มีความเปลี่ยนแปลงของระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงหรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ยังคงต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมจากงานวิจัยในอนาคต เพื่อช่วยรับรองผลการศึกษา

โรคมะเร็ง จากการศึกษาวิจัยมะขามป้อมต่อโรคมะเร็งที่ผ่านมามักพบการทดลองระดับเซลล์และในสัตว์ทดลองเป็นส่วนใหญ่ โดยเชื่อกันว่าสารพฤกษเคมีหลายตัวที่พบในมะขามป้อมมีคุณสมบัติต้านมะเร็งคล้ายการใช้ยาเคมีบำบัด เช่น กรดแกลลิก กรดเอลลาจิก ไพโรแกลลอล คอริลาจิน เจอรานีน เป็นต้น

จากการทดสอบประสิทธิภาพสารสกัดจากมะขามป้อมต่อการยับยั้งมะเร็งเซลล์ตับและเซลล์มะเร็งปอด เพื่อใช้เสริมฤทธิ์ยาเคมีบำบัดรักษามะเร็ง 2 ตัว ได้แก่ ยาด๊อกโซรูบิซิน หรือยาซิสพลาติน ผลการทดสอบพบว่าการใช้สารสกัดจากมะขามป้อมแบบเดี่ยวหรือใช้ควบคู่กับยาเคมีบำบัดรักษามะเร็งต่างมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่ทดสอบ มะขามป้อมจึงอาจใช้เป็นส่วนผสมร่วมกับยาด๊อกโซรูบิซินหรือยาซิสพลาตินรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งบางราย ซึ่งอาจช่วยเสริมหรือลดผลจากตัวยาเคมีบำบัดลง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนในการผสมของยาและสารสกัดจากมะขามป้อม อย่างไรก็ตาม ยังขาดการศึกษาอย่างจริงจังถึงสัดส่วนของยาและสมุนไพรในคน รวมถึงปฏิกิริยาระหว่างยากับสารสกัดจากมะขามป้อมซึ่งยังให้ผลไม่ชัดเจน

โรคเบาหวาน มะขามป้อมใช้เป็นยาพื้นบ้านมาตั้งแต่อดีตสำหรับรักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากเชื่อกันว่าช่วยจัดการภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ซึ่งอาจช่วยต่อต้านความเสียหายที่เกิดขึ้นในร่างกายจากการพัฒนาของโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากตัวโรค โดยในปัจจุบันมีการศึกษาหลายชิ้น เช่น

จากการศึกษาสรรพคุณของมะขามป้อมต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการอาการปกติหรือไม่มีภาวะแทรกซ้อน 120 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมะขามป้อมและสมุนไพรอื่น ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติลดน้ำตาลในเลือดทุกวันเป็นระยะเวลา 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานอาหารเสริม แต่รับประทานอาหารปกติ จากนั้นจึงวัดผลด้วยการเจาะวัดระดับน้ำตาลในเลือดพบว่า กลุ่มที่รับประทานอาหารเสริมมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Sugar: FBS) และน้ำตาลสะสม (Glycated Hemoglobin: HbA1c) ลดลงอย่างชัดเจน แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มที่ไม่รับประทานอาหารเสริม

สอดคล้องกับการศึกษาอาหารเสริมจากมะขามป้อมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน จำนวน 43 คน โดยให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเสริม ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด ซึ่งมีส่วนผสมของมะขามป้อม 25% และสมุนไพรชนิดอื่นอีก 75% วันละ 2 เม็ด ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน เปรียบเทียบกับกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรง จำนวน 10 คน ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเสริม หลังจบการทดลองพบว่า กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้ง 3 กลุ่ม มีค่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องปริมาณของมะขามป้อมที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด

จากข้อมูลการศึกษาหลายชิ้นเชื่อว่ามะขามป้อมมีคุณสมบัติช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการศึกษาที่ใช้มะขามป้อมควบคู่กับสารสกัดหรือสมุนไพรชนิดอื่น อีกทั้ง ปริมาณการใช้มะขามป้อมต่อการรักษาโรคเบาหวานยังไม่ทราบแน่นอน ทำให้ต้องศึกษาเพิ่มเติมหรือมีงานวิจัยที่ใช้มะขามป้อมเพียงตัวเดียว เพื่อช่วยยืนยันผลการศึกษาที่แน่นอน

โรคอ้วน นอกจากสรรพคุณช่วยลดภาวะไขมันและโรคหัวใจ มะขามป้อมยังถูกใช้อย่างแพร่หลายในการรักษาโรคอ้วน จากการศึกษาสูตรยาโบราณอย่าง ตรีผลา (Triphala) ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ มะขามป้อม สมอไทย และสมอพิเภก เพื่อดูประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักในคนอายุ 16-60 ปี โดยให้รับประทานตรีผลาวันละ 5 กรัม วันละ 2 ครั้งเปรียบเทียบกับยาหลอก จากนั้นจึงวัดผลจากน้ำหนักตัว ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) รอบเอวและรอบสะโพกทุก 4 สัปดาห์ รวมถึงตรวจดูการทำงานของตับและไต ค่าความต้านทานต่ออินซูลิน ผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่รับประทานตรีผลามีน้ำหนักตัว รอบเอว และรอบสะโพกลดลงกว่ากลุ่มที่รับประทานยาหลอก รวมถึงไม่พบผลข้างเคียงทั้งใน 2 กลุ่ม  

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกชิ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารสกัดจากมะขามป้อมในผู้ป่วยโรคอ้วน โดยให้รับประทานอาหารเสริมจากมะขามป้อมวันละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 12 สัปดาห์ ผลพบว่า ผู้ป่วยมีระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังการรับประทานสารสกัดจากมะขามป้อมครบ 12 สัปดาห์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงเรื่องหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่ ไขมัน การอักเสบ และการแข็งตัวของเกล็ดเลือดในผู้ป่วยโรคอ้วน

จากข้อมูลในข้างต้น การแพทย์ทางเลือกโดยใช้สมุนไพรที่ขึ้นชื่อกันว่าช่วยลดน้ำหนักลดลงอย่างมะขามป้อมก็อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคอ้วนทั่วไป แต่ในรายที่อ้วนมากหรือมีอาการรุนแรงอื่น ๆ ควรได้รับการรักษาที่เฉพาะเจาะจง มีการออกกำลังกาย ควบคุมการรับประทานอาหาร และปรึกษาแพทย์ควบคู่กันไป

โรคข้อเข่าเสื่อม ตามแนวทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียได้ใช้สมุนไพรหลายชนิดในการรักษาโรค โดยมะขามป้อมเป็นสมุนไพรอีกชนิดที่เชื่อว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและเป็นส่วนผสมอยู่ในตำรับยาดังกล่าว จึงมักถูกนำมาใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาสมุนไพรตามสูตรยาแพทย์อายุรเวชที่มีมะขามป้อมเป็นส่วนประกอบกับการใช้กลูโคซามีนควบคู่กับยาเซเลโคซิบ (Celecoxib) ในผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม จำนวน 440 คน โดยแบ่งให้กลุ่มแรกรับประทานกลูโคซามีนซัลเฟต 2 กรัมต่อวัน พร้อมกับเซเลโคซิบ 200 มิลลิกรัมต่อวัน และอีกกลุ่มรับประทานยาสมุนไพรที่มีมะขามป้อม เป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ พบว่า ยาสมุนไพรตามสูตรยาแพทย์อายุรเวชช่วยลดอาการปวดเข่าและเสริมการทำงานของหัวเข่าให้ดีขึ้นในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งชี้ให้เห็นว่ายาสมุนไพรอาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับกลูโคซามีนและยาเซเลโคซิบ อย่างไรก็ตาม ยังพบผลข้างเคียงคือตับอักเสบเล็กน้อย และค่าเอนไซม์กลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อหยุดรับประทาน ทำให้ต้องศึกษาและติดตามผลในด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมก่อนนำมาประยุกต์ใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในระยะยาว

การรับประทานมะขามป้อมอย่างปลอดภัย

โดยทั่วไปการรับประทานมะขามป้อมค่อนข้างมีความปลอดภัยเมื่อรับประทานในปริมาณปกติจากอาหาร แต่มีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้

  • หญิงมีครรภ์และคุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงที่จะรับประทาน เนื่องจากยังไม่พบข้อมูลยืนยันความปลอดภัย
  • มะขามป้อมอาจก่อให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติหรือรอยช้ำในบางราย ผู้ที่มีภาวะเหล่านี้จึงควรระมัดระวังในการรับประทานให้มากขึ้นหรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน รวมถึงผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานมะขามป้อมอย่างน้อย 2 อาทิตย์ เพื่อความปลอดภัย
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระวังในการรับประทานเป็นพิเศษและปรึกษาแพทย์เสมอ เนื่องจากมะขามป้อมอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง จึงอาจมีความจำเป็นในการปรับชนิดและขนาดยาโดยแพทย์หากต้องการรับประทาน
  • ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะขามป้อม เนื่องจากตามหลักทฤษฎีพบว่าการรับประทานมะขามป้อมกับสมุนไพรบางชนิด เช่น ขิง บอระเพ็ด กำยาน อาจส่งผลให้การทำงานของตับในผู้ป่วยโรคไตแย่ลง แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการรับประทานมะขามป้อมเพียงอย่างเดียวจะส่งผลเหมือนกันหรือไม่
  • ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลรายงานถึงปฏิกิริยาของมะขามป้อมกับยาหรือสมุนไพรอื่น