เรตินอล (Retinol) คือสารในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) ซึ่งเป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ และการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิว เรตินอลจึงเป็นสารที่นิยมใช้แก้ไขปัญหาริ้วรอย ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และลดการเกิดสิว
เรตินอลพบได้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายรูปแบบ เช่น ครีม โลชั่น เซรั่ม และเจล ซึ่งสามารถหาซื้อได้เอง แม้เรตินอลจะมีประโยชน์ต่อผิวพรรณหลายด้าน แต่ก็มีข้อควรรู้และควรระวังในการใช้เพื่อความปลอดภัยต่อผิวหลายประการ หากใช้ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ หากสงสัยว่าเรตินอลช่วยบำรุงผิวอย่างไร และควรใช้อย่างไรให้ปลอดภัย บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลไว้แล้ว
ประโยชน์น่ารู้ของเรตินอล
การใช้เรตินอลอาจมีประโยชน์ต่อผิวพรรณในด้านต่าง ๆ เช่น
ช่วยชะลอวัยและทำให้ผิวอ่อนเยาว์
เรตินอลช่วยในกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นทดแทน ช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น รวมทั้งช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผิวหนัง ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย การใช้เรตินอลจึงช่วยให้ผิวเรียบเนียน และลดการเกิดริ้วรอยตื้นและริ้วรอยลึกได้
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
เรตินอลมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ โดยอนุมูลอิสระอาจเกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่น จากกระบวนการเผาผลาญอาหาร และได้รับจากปัจจัยภายนอก เช่น รังสียูวี (UV) ในแสงแดด ฝุ่น ควัน และมลภาวะ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอย และดูแก่ก่อนวัย
กระชับรูขุมขนและลดการเกิดสิว
เรตินอลช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและทำให้รูขุมขนดูเล็กลง โดยปรับสมดุลการทำงานของต่อมไขมันในผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ไขมัน และสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขน จึงลดการเกิดสิว อีกทั้งยังช่วยลดการบวมและอักเสบของสิวและช่วยป้องกันการเกิดสิวในอนาคต
รักษาโรคสะเก็ดเงิน
ช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังเร็วกว่าปกติ การใช้เรตินอลอาจช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์ผิวและลดการอักเสบ แต่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้ผิวระคายเคือง และควรใช้ร่วมกับยาสเตียรอยด์เพื่อประสิทธิภาพในการรักษา
ข้อควรรู้ก่อนใช้เรตินอล
ก่อนใช้เรตินอล มีสิ่งที่ควรรู้และปฏิบัติ ดังนี้
- คนที่มีผิวแพ้ง่ายและผิวแห้งควรหลีกเลี่ยงการใช้เรตินอล เนื่องจากอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารลดริ้วรอยและสารช่วยผลัดเซลล์อื่นที่อ่อนโยนต่อผิวมากกว่าแทน
- ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง และเป็นสิวรุนแรงไม่ควรใช้เรตินอล เนื่องจากเป็นสารที่ออกฤทธิ์รุนแรงต่อผิว และอาจเกิดการระคายเคืองผิวได้
- ผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ กำลังตั้งครรภ์ และให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้เรตินอลเสมอ เนื่องจากสารในกลุ่มวิตามินเออาจทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกได้
- หากใช้ยาทารักษาสิวอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เรตินอล
- การใช้เรตินอลในช่วงแรกอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น ผิวแดง แสบ คัน และลอก รวมทั้งอาจทำให้สิวขึ้นมากผิดปกติ เนื่องจากเรตินอลช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ดันสิวที่อุดตันอยู่ใต้ผิวหนังออกมาการใช้เรตินอลอาจทำให้ผิวไวต่อแสง จึงควรทาเรตินอลในตอนกลางคืน เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว
- หากเป็นไปได้ควรอยู่ในที่ร่ม หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไปก่อนออกจากบ้านเสมอ
- ไม่ควรใช้เรตินอลพร้อมกับกรดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA BHA และวิตามินซี หากต้องการใช้ อาจใช้คนละช่วงเวลากัน เช่น ใช้วิตามินซีในตอนเช้า และใช้เรตินอลในตอนกลางคืน
วิธีใช้เรตินอลอย่างปลอดภัย
ก่อนเริ่มใช้เรตินอลในครั้งแรกควรทดสอบการแพ้ก่อน โดยทาผลิตภัณฑ์ปริมาณเล็กน้อยที่ข้อพับแขนหรือหลังใบหู ทิ้งไว้ 48–72 ชั่วโมง หากมีอาการแพ้ เช่น ผิวบวมแดง คัน และแสบร้อนผิว ไม่ควรใช้เรตินอล
หากไม่มีอาการแพ้ ควรเริ่มใช้เรตินอลที่มีความเข้มข้นต่ำประมาณ 0.05% ก่อน และเริ่มใช้สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง หากไม่รู้สึกระคายเคืองสามารถใช้บ่อยขึ้น เช่น วันเว้นวันหรือทุกวัน โดยในใช้ช่วงกลางคืนหลังล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน และซับหน้าให้แห้งแล้วประมาณ 30 นาที
ทาเรตินอลขนาดเท่าเมล็ดถั่วบนใบหน้า โดยเว้นบริเวณรอบดวงตา รูจมูก และปาก แล้วตามด้วยการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำมันหรือสารที่ทำให้อุดตันผิว การทามอยส์เจอร์ไรเซอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและช่วยลดอาการแห้งลอก อีกทั้งยังช่วยลดการระคายเคืองผิวที่เกิดจากการใช้เรตินอล
ควรใช้เรตินอลต่อเนื่องกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยอาจใช้เวลา 6 สัปดาห์จนถึง 3 เดือนจึงจะเริ่มเห็นผลหากใช้เรตินอลแล้วไม่ได้ผล หรือเกิดอาการแพ้รุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา แพทย์จะแนะนำผลิตภัณฑ์อื่นและวิธีรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละคนต่อไป เช่น การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ลดริ้วรอย การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) และเลเซอร์รักษาจุดด่างดำ