เลือดกำเดาไหลไม่หยุด เป็นโรคภูมิแพ้เคัดจมูกบ่อย ใช้ยาพ่นจมูกมาก มีผลไหม

สวัสดีค่ะ คุณ Puwakorn Suwanaseth,

                    การมีเลือดกำเดาไหล เกิดจากเส้นเลือดฝอยหรือเส้นเลือดใหญ่ภายในจมูกแตก  ส่วนใหญ่มักพบในช่วงวัยเด็กอายุ 2-10 ปี และผู้สูงวัยในช่วง 50-80 ปี โดยทั่วไป หากเกิดขึ้นนานครั้งๆ สาเหตุ ได้แก่

                    - การล้วงหรือแคะจมูกที่รุนแรง การจามบ่อย ๆ จามแรง สั่งน้ำมูกแรงเกินไป

                    - สิ่งแปลกปลอมติดค้างอยู่ภายในจมูก

                    - จมูกได้รับการกระแทกแรง 

                     - สภาพอากาศที่หนาวและแห้ง หรืออากาศที่ร้อนจัดก็ได้

                     - การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้โพรงจมูกแห้ง เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก เป็นต้น 

                     แต่หากมีเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ อาจเกิดจาก

                    - การทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดเป็นประจำเพื่อรักษาโรคบางอย่าง รวมถึงยาแอสไพริน

                    - เป็นโรคภูมิแพ้ ที่ทำให้มีน้ำมูกและอาการคัดจมูกบ่อยๆ

                    - มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น โรคฮีโมฟิเลีย หรือมีการแข็งตัวของเกร็ดเลือดผิดปกติ เช่น โรควอนวิลลิแบรนด์ (vWD) เป็นต้น

                    - มีเนื้องอกหรือมะเร็งในโพรงจมูก

                    ดังนั้น หากมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ และให้ยาพ่นจมูกบ่อยๆ ก็น่าจะเป็นสาเหตุได้ค่ะ

                  ในเบื้องต้น หากเลือดกำเดายังคงไหลอยู่ ให้นั่งนิ่ง ๆ เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบรูจมูก แล้วหายใจทางปากประมาณ 10 นาที หากผ่านไป 10 นาทีแล้วให้เลิกบีบจมูก หากเลือดกำเดายังไม่หยุดไหล ให้ทำตามขั้นตอนเดิมซ้ำอีกครั้ง ไม่เงยหน้าขึ้นในขณะที่เลือดกำเดาไหล เพราะอาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะแล้วทำให้เกิดการระคายเคืองและมีอาเจียนออกมาได้ อาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งวางไว้บริเวณสันจมูก ไม่สั่งน้ำมูก หรือล้วงแคะจมูก หากเลือดหยุดไหลแล้ว หลังจากนั้น ก็ไม่ควรแคะจมูก ไม่สั่งน้ำมูก งดการใช้ยาพ่นรวมถึงยาแก้แพ้ชนิดทานต่างๆ ไปก่อนประมาณ 1-2 วันค่ะ

                    สำหรับเป็นโรคภูมิแพ้ที่เป็น หากเป็นมาก จนทำให้มีการสั่งน้ำมูกบ่อยๆ หรือใช้ยาพ่นบ่อยมากไป ก็ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้ เพื่อให้แนวทางการรักษาที่เหมาะสม จะได้ลดปริมาณการใช้ยาลง และไม่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลอีกบ่อยๆ ค่ะ