คีลอยด์

ความหมาย คีลอยด์

คีลอยด์ คือ แผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะนูนและขนาดอาจขยายใหญ่กว่ารอยแผลที่เกิดขึ้น โดยอาจเกิดขึ้นทันทีที่แผลหายหรือหลังจากแผลหายดีสักพักแล้ว แม้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ก็อาจทำให้รู้สึกเจ็บ คัน ระคายเคือง หรือส่งผลด้านความสวยความงามได้

คีลอยด์

อาการของคีลอยด์

คีลอยด์สามารถเกิดขึ้นที่บนร่างกายบริเวณใดก็ตาม แต่ส่วนที่มีแนวโน้มการเกิดคีลอยด์มากกว่าบริเวณอื่น ๆ ได้แก่ หน้าอก หัวไหล่ หลัง ลำคอ และติ่งหู โดยอาจมีลักษณะที่สังเกตได้ดังต่อไปนี้

  • เป็นก้อนนูนขึ้นมาจากผิวหนัง โดยจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป   
  • ลักษณะเป็นมันเงา ไม่มีขนขึ้นบนคีลอยด์
  • ในช่วงแรกอาจมีสีแดงหรือม่วง ก่อนที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ำหรือซีดลง
  • เมื่อสัมผัสแล้วรู้สึกแข็ง คล้ายยาง
  • ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ แต่บางคนก็อาจมีอาการเจ็บ ฟกช้ำ คัน แสบร้อน หรือส่งผลให้เคลื่อนไหวลำบากได้หากเป็นบริเวณข้อต่อ
  • เมื่อสัมผัสหรือเสียดสีกับเสื้อผ้าอาจเกิดความระคายเคือง คัน หรือรู้สึกเจ็บ
  • คีลอยด์อาจคงอยู่เป็นเวลาหลายปี และบางครั้งก็ใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปีกว่าจะก่อตัวขึ้นมา
  • เมื่อถูกแสงแดดอาจมีสีคล้ำลงกว่าผิวบริเวณรอบ ๆ และเป็นไปได้ว่าสีคล้ำอาจไม่หายไป

สาเหตุของคีลอยด์

คีลอยด์เป็นผลจากความผิดปกติของกระบวนรักษาแผลตามธรรมชาติของร่างกาย โดยปกติเมื่อผิวหนังได้รับความเสียหายหรือเป็นแผลจะมีการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนขึ้นมาซ่อมแซมบริเวณดังกล่าวจนหายดี แต่หากกระบวนการนี้ทำงานมากเกินไปจะทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งแผลเป็นส่วนใหญ่มักค่อย ๆ ยุบจางลงเมื่อเวลาผ่านไป ทว่าแผลเป็นชนิดคีลอยด์นั้นจะมีขนาดใหญ่และนูนขึ้นกว่ารอยแผลเดิม

แผลคีลอยด์ก่อตัวขึ้นหลังจากได้รับบาดแผลใด ๆ บริเวณผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นแผลผ่าตัด แผลจากการเจาะตามร่างกาย แผลไหม้ แผลจากโรคอีสุกอีใส สิว หรือในบางคนแม้แต่แผลขีดข่วนเล็กน้อยก็ยังทิ้งร่องรอยในลักษณะของแผลเป็นชนิดนี้ได้ แต่คีลอยด์ที่เกิดขึ้นหลังจากการได้รับบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นใช้เวลานานหลายปีกว่าจะพัฒนาขึ้น นอกจากนี้ บางครั้งยังพบว่าคีลอยด์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่กลางหน้าอก แม้ไม่เคยได้รับบาดเจ็บหรือมีแผลบริเวณนั้นมาก่อนก็ตาม

ทั้งนี้ คีลอยด์เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ผู้ที่มีอายุอยู่ในช่วง 10-30 ปี มีแนวโน้มที่จะเป็นได้มากกว่า และเชื่อว่าอาจมีปัจจัยด้านพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยกว่าครึ่งของผู้ที่เกิดแผลเป็นชนิดคีลอยด์มีสมาชิกในครอบครัวที่เป็นคีลอยด์มาก่อนเช่นกัน

การวินิจฉัยคีลอยด์

แพทย์จะตรวจดูลักษณะความผิดปกติที่เกิดขึ้นด้วยตาเปล่า เพื่อตรวจแยกคีลอยด์จากเนื้องอกหรือแผลเป็นชนิดอื่น ๆ ที่อาจมีลักษณะคล้ายกัน เช่น แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar) ซึ่งมีลักษณะนูนขึ้นมาเหมือนกันจนบางครั้งอาจทำให้เกิดความสับสน

แผลเป็นนูนต่างจากคีลอยด์ตรงที่มักมีสีออกแดงกว่าคีลอยด์และจะค่อย ๆ จางลงไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปีหรือนานกว่านั้น โดยหากเป็นแผลเป็นนูนจะก่อตัวขึ้นภายใน 2 เดือนหลังจากเกิดแผลและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลา 6 เดือน ผ่านไป 2-3 ปีจึงค่อย ๆ ยุบตัวลงจนแผลคงตัว มักพบว่าเกิดขึ้นบริเวณที่มีความตึงผิวสูง เช่น หัวไหล่ คอ หัวเข่า และข้อเท้า

อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าแผลนั้น ๆ เป็นแผลเป็นคีลอยด์ แผลเป็นนูน หรือเนื้องอกที่ผิวหนัง แพทย์อาจเจาะชิ้นเนื้อจากบริเวณที่เกิดความผิดปกติแล้วส่งตรวจดูความแตกต่างโดยอาศัยกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งหากเป็นคีลอยด์ก็จะแสดงให้เห็นถึงเซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะออกไป

การรักษาคีลอยด์

คีลอยด์มักไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ และไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ลักษณะของคีลอยด์ รวมถึงอาการเจ็บหรือคันก็อาจเป็นที่รบกวนใจได้ ทั้งนี้ในปัจจุบันการรักษาแผลคีลอยด์ยังไม่มีวิธีที่ได้ผลแน่นอน บางครั้งการรักษาอาจเพียงช่วยทำให้ลักษณะของคีลอยด์ดูดีขึ้นหรือรู้สึกระคายเคืองน้อยลง และยังมีโอกาสที่คีลอยด์จะเติบโตขึ้นมาอีกครั้งหลังจากรับการรักษา โดยแพทย์อาจแนะนำวิธีใด ๆ ต่อไปนี้หรือใช้หลาย ๆ วิธีควบคู่กันไป

การฉีดคอร์ติโซนสเตียรอยด์ เป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและไม่เจ็บมาก โดยจะฉีดสเตียรอยด์ชนิดนี้เข้าที่แผลเป็นให้ทุก ๆ 4-8 สัปดาห์เพื่อช่วยให้คีลอยด์ยุบตัวลง แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้แผลเป็นแดงขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากสเตียรอยด์ชนิดนี้จะไปกระตุ้นให้บริเวณดังกล่าวสร้างหลอดเลือดแดงใกล้ชั้นผิวมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้การรักษาด้วยวิธีนี้อาจช่วยให้แผลเป็นดูดีขึ้นกว่าเดิมก็ยังเห็นความผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับผิวบริเวณรอบข้างอยู่ดี แม้กระทั่งในกรณีที่มีผลการรักษาดีที่สุดแล้วก็ตาม

การผ่าตัด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการรักษาคีลอยด์ โดยการผ่าเอาผิวหนังบริเวณที่เป็นคีลอยด์ออกไป อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดนี้ถือเป็นวิธีที่มีความเสี่ยง เพราะจะกระตุ้นให้แผลเป็นเกิดนูนขึ้นมาเหมือนเดิมหรือมีขนาดใหญ่กว่าเดิม แพทย์มักใช้วิธีอื่นร่วมรักษาด้วยหลังจากผ่าตัดแล้ว เช่น การใช้แผ่นผ้าแปะกดหรือแผ่นเจลซิลิโคนปิดบนแผลวันละ 12-24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลาหลายเดือน การฉีดสเตียรอยด์ การฉายรังสี นอกจากนี้ การเย็บแผลหลังผ่าตัดให้น้อยเข็มที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็อาจช่วยให้โอกาสในการเกิดแผลเป็นลดลงได้เช่นกัน

การเลเซอร์ เป็นการใช้เลเซอร์ชนิดที่มีความอ่อนโยนต่อผิว (Pulsed Dye Lasers) ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นคีลอยด์เรียบแบนและแดงน้อยลงได้ ทั้งยังเป็นการรักษาที่ปลอดภัยและไม่ทำให้เจ็บมาก แต่อาจต้องทำหลาย ๆ ครั้ง และมีราคาค่อนข้างแพง

การใช้เจลหรือแผ่นซิลิโคนลดแผลเป็น การรักษาด้วยการใช้แผ่นซิลิโคนเจลแปะลงบนคีลอยด์เป็นเวลาต่อเนื่องหลาย ๆ เดือน ซึ่งอาจค่อนข้างยากลำบากที่จะให้แผ่นซิลิโคนนี้คงอยู่กับที่ ส่วนผลการรักษานั้นแตกต่างกัน แพทย์บางคนบอกว่าวิธีนี้ให้ผลการรักษาได้พอ ๆ กับการใช้แผ่นผ้าแปะกดแผลเป็นที่ใช้หลักการแปะกดเหมือนกัน แต่ตัวแผ่นทำด้วยวัสดุอื่นที่ไม่ใช่เจลซิลิโคน

การใช้แผ่นผ้าแปะกด ช่วยทำให้เกิดแรงกดและป้องกันไม่ให้คีลอยด์สัมผัสกับอากาศ มีวิธีใช้โดยการปิดไว้ที่บริเวณแผลเป็นตั้งแต่วันละ 12-24 ชั่วโมง จนกระทั่งถึงเป็นเวลาหลายสัปดาหนอกจากนี้ ยังมีแผ่นแปะสำหรับแปะบริเวณติ่งหูโดยเฉพาะ ซึ่งหากใช้อย่างถูกวิธีอาจช่วยให้คีลอยด์ที่เกิดขึ้นจากการเจาะหูยุบตัวลงได้มาก

การรักษาด้วยความเย็นจัด ใช้กับแผลขนาดเล็ก โดยเป็นการให้คีลอยด์ได้สัมผัสกับความเย็นสูงจากไนโตรเจนเหลว การรักษาวิธีนี้อาจใช้วิธีอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การฉีดสเตียรอยด์ การใช้ความเย็นจัดจะช่วยให้คีลอยด์แบนเรียบลงได้ และหากเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ มีโอกาสหยุดการเติบโตของคีลอยด์  อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีผลข้างเคียง คือ อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่รักษามีสีเข้มขึ้นหรืออ่อนลงได้

การฉีดอินเทอร์เฟอรอน ซึ่งคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตขึ้นโดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ช่วยกำจัดไวรัส แบคทีเรีย เชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ออกไป ในงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ พบว่าการฉีดอินเทอร์ฟอนช่วยลดขนาดของคีลอยด์ได้จริง แม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าผลลัพธ์การฉีดคงอยู่ได้ยาวนานหรือไม่ ปัจจุบันมีการศึกษาการใช้อินเทอร์ฟอนโดยวิธีอื่น ๆ นอกจากการฉีดเข้าที่คีลอยด์ เช่น การทาครีมอิมิควิโมด (Imiquimod) ซึ่งเป็นวิธีกระตุ้นให้ร่างกายผลิตอินเทอร์เฟอรอนขึ้นมาบริเวณนั้นได้เอง

ฟลูออโรยูราซิลและบลีโอมัยซิน ยา 2 ชนิดนี้เป็นยาต้านมะเร็ง แต่อาจนำมาฉีดชะลอการก่อตัวของคีลอยด์ได้เช่นกัน โดยอาจใช้ลำพังหรือใช้ควบคู่ไปกับการฉีดสเตียรอยด์ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ยานี้อาจส่งผลข้างเคียงคือก่อให้เกิดอาการเจ็บที่คีลอยด์ ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีสีซีดลง หรือทำให้ผิวถูกทำลายเสียหายได้

การฉายรังสี มักใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาคีลอยด์ เนื่องจากมีความเสี่ยงก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยจะนำมาใช้ในกรณีที่จำเป็นอย่างการรักษาบางส่วนของร่างกายที่ห่างไกลจากอวัยวะภายใน เช่น แขนหรือขา แต่ไม่นำมาใช้กับคีลอยด์บริเวณท้องหรือหน้าอก หรืออาจใช้รังสีรักษาในระยะใกล้ โดยวางวัสดุกัมมันตรังสีโดยตรงหรือวางไว้ใกล้ ๆ กับบริเวณที่เป็นคีลอยด์คล้ายกับการรักษาเนื้องอกหรือมะเร็ง เพื่อช่วยให้คีลอยด์หดตัวลงหลังจากผ่าตัดออกไปแล้ว

การยาใช้เรตินอยด์ มักใช้รักษาคีลอยด์ที่เกิดขึ้นจากรอยสิว การทาเรตินอยด์ลงบนแผลเป็นจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่การรักษาชนิดนี้ไม่เป็นที่นิยมเพราะอาจไม่ได้ผลเทียบเท่าวิธีอื่น ๆ

การป้องกันคีลอยด์

ในผู้ที่สังเกตตนเองว่ามีแนวโน้มจะเกิดแผลเป็นขึ้นหลังจากแผลหาย ควรหลีกเลี่ยงการสัก เจาะตามร่างกาย หรือการผ่าตัดศัลยกรรมใด ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นจริง ๆ เพราะทั้งหมดนี้ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดคีลอยด์ตามมาได้ นอกจากนี้ หากเกิดแผลใด ๆ ขึ้นตามร่างกาย ควรรีบรักษาทันที เพื่อให้แผลนั้นหายเร็วขึ้นและมีโอกาสเกิดแผลเป็นน้อยลง

ขั้นตอนการรักษาแผลเพื่อช่วยป้องกันการเกิดคีลอยด์ ทำได้ดังนี้

  • ปิดแผลไว้เมื่อเกิดแผล โดยใช้วาสลีนทา ตามด้วยผ้าพันแผลปิดทับอีกที จากนั้นใช้เทปแปะยึดผ้าพันแผลหรือผ้าก๊อซไว้ให้เกิดแรงกดบนแผล และไม่ลืมล้างทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำและสบู่ทุก ๆ วัน กรณีที่มีการเจาะหู ให้ใช้แผ่นแปะสำหรับติ่งหูเพื่อกดไว้ไม่ให้แผลเป็นเติบโตขึ้นมา
  • ใช้แผ่นเจลซิลิโคนแปะหลังจากแผลหายดีแล้ว เพื่อกดบริเวณดังกล่าวไว้ ป้องกันแผลเป็นเจริญเติบโตขึ้นมา โดยทำทุกวัน วันละ 12-24 ชั่วโมงต่อวัน เป็นระยะเวลา 2-3 เดือน ทั้งนี้เนื่องจากการเกิดแผลเป็นคีลอยด์นั้นใช้เวลาประมาณ 3 เดือน
  • ปกป้องบริเวณที่เกิดแผลจากแสงแดด เมื่อต้องเผชิญแสงแดดอาจป้องกันแผลด้วยผ้าพันแผล พลาสเตอร์ หรือทาครีมกันแดด ทำเช่นนี้เป็นเวลา 6 เดือนหลังจากการเกิดแผลหรือการเข้ารับผ่าตัด หากเป็นเด็กควรแปะไว้เป็นเวลานานถึง 18 เดือน นอกจากนี้ อาจใช้ครีมอิมิควิโมดทาหลังการผ่าตัดใด ๆ เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นขึ้นหรือลดโอกาสการเกิดคีลอยด์ขึ้นใหม่หลังการผ่าตัดออกไปแล้ว