เข่าบวม (Swollen Knee)

ความหมาย เข่าบวม (Swollen Knee)

เข่าบวม เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อบริเวณข้อเข่ามีของเหลวไปสะสมอยู่ในปริมาณมาก จนส่งผลให้ผู้ที่มีอาการเข่าบวมเกิดอาการปวดเข่า เจ็บเข่า รู้สึกแน่นหรือตึงบริเวณเข่า เกิดรอยแดงที่เข่า และรู้สึกร้อนบริเวณเข่า

บริเวณหัวเข่าเป็นบริเวณที่เชื่อมระหว่างส่วนปลายกระดูกต้นขาและส่วนต้นของกระดูกหน้าแข้ง อีกทั้งยังเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเส้นประสาทหลายส่วน โดยอาการเข่าบวมจะเกิดขึ้นเมื่ออวัยวะเหล่านี้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งก็อาจเป็นได้ทั้งจากการเล่นกีฬา การเกิดอุบัติเหตุ ไปจนถึงการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ

เข่าบวม

สาเหตุของอาการเข่าบวม

อาการเข่าบวมเป็นอาการที่สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา การเกิดอุบัติเหตุที่เข่า การใช้งานหัวเข่าหนักเกินไป ไปจนถึงการเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิด โดยตัวอย่างโรคที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเข่าบวมได้ก็เช่น

  • โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) หรือภาวะที่กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อกระดูกเสื่อมสภาพหรือเกิดความเสียหาย ซึ่งส่งผลให้กระดูกเสียดสีกันขณะเคลื่อนไหวร่างกาย
  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติโดยการไปทำลายเนื้อเยื่อในร่างกาย
  • ข้ออักเสบจากการติดเชื้อ (Septic Arthritis) โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากการที่ข้อต่อเกิดการติดเชื้อและอักเสบ
  • เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) เป็นภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อของผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง
  • โรคเก๊าท์ (Gout) โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากการที่เลือดมีกรดยูริกสะสมอยู่มาก จนส่งผลให้เกิดผลึกที่มีลักษณะแหลมตามข้อต่าง ๆ
  • ถุงของเหลวหล่อลื่นบริเวณข้อต่ออักเสบ (Bursitis)
  • เอ็นอักเสบ (Tendinitis)
  • การเกิดซีสต์ (Cyst) หรือถุงน้ำ
  • มีเนื้องอก

อาการเข่าบวม

ผู้ที่มีอาการเข่าบวมอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยอาการที่อาจพบได้ก็เช่น

  • ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ เข่าบวม
  • รู้สึกตึงบริเวณเข่า งอหรือยืดเข่าลำบาก
  • ปวดเข่า โดยเฉพาะขณะใช้เข่ารับน้ำหนัก
  • เข่าเกิดการผิดรูป
  • ข้อเข่าแดง และรู้สึกร้อนบริเวณข้อเข่า
  • มีไข้

สัญญาณสำคัญของอาการเข่าบวมที่ควรไปพบแพทย์

ในบางครั้ง อาการเข่าบวมอาจดีขึ้นได้เองจากการพักการใช้เข่าและการประคบที่เข่า แต่หากเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้นเลยเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่มีอาการปวดเข่าก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีอาการปวดเข่าที่เข้าข่ายในลักษณะดังต่อไปนี้ ผู้ที่มีอาการปวดเข่าควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • อาการปวดเข่าเกิดขึ้นหลังจากการเกิดอุบัติเหตุหรือตกจากที่สูง
  • หัวเข่าบวมแดง และรู้สึกร้อนที่เข่า
  • หัวเข่าบวมอย่างรุนแรง
  • ไม่สามารถเคลื่อนไหวหัวเข่าได้
  • ปวดเข่าอย่างรุนแรง
  • หัวเข่าอยู่ในลักษณะผิดรูป
  • หัวเข่าไม่สามารถรับน้ำหนักได้

การวินิจฉัยอาการเข่าบวม

สำหรับการวินิจฉัยอาการเข่าบวม แพทย์จะสอบถามอาการ โรคประจำตัว และประวัติการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ก่อน รวมถึงแพทย์อาจตรวจร่างกายด้วยการให้ผู้ป่วยพยายามเหยียดขาร่วมด้วย จากนั้น แพทย์อาจใช้วิธีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น

  • การวินิจฉัยด้วยภาพ เช่น การเอกซเรย์ อัลตราซาวด์ และเอ็มอาร์ไอ (MRI Scan) เพื่อตรวจดูความผิดปกติบริเวณเข่า
  • การใช้เข็มเจาะบริเวณเข่าเพื่อเก็บตัวอย่างของเหลวไปส่งตรวจ เพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อ การอักเสบ ตรวจเลือด และตรวจดูกรดยูริก

การรักษาอาการเข่าบวม

ในการรักษาอาการเข่าบวม หากอาการไม่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำเป็นเพียงการพักการใช้เข่า การประคบเย็น ร่วมกับการรับประทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ แต่หากลองทำด้วยวิธีเหล่านี้แล้วอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติมตามความเหมาะสม

ส่วนในกรณีที่แพทย์เห็นว่าต้องรับการรักษาจากแพทย์ แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาตามสาเหตุของผู้ป่วยแต่ละคน โดยตัวอย่างการรักษาที่แพทย์อาจใช้ก็เช่น

  • การทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับหัวเข่า โดยในบางคน แพทย์อาจใช้เครื่องพยุงเข่าร่วมด้วย
  • การใช้ยา เช่น ยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ยาปฏิชีวนะ และสเตียรอยด์
  • การผ่าตัดหรือกระบวนการทางการแพทย์อื่น ๆ เช่น การผ่าตัดเปิดหัวเข่าเพื่อรักษาภาวะกระดูกหัก การใช้เข็มเจาะระบายของเหลวที่เข่า หรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม

ภาวะแทรกซ้อนของอาการเข่าบวม

ผู้ที่มีอาการเข่าบวมอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนบางอย่างได้ เช่น การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถขยับเข่าได้มาก หรือในบางคนอาจเกิดก้อนซีสต์ในเข่าได้ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดเข่าอย่างรุนแรงได้

การป้องกันอาการเข่าบวม

เนื่องจากอาการเข่าบวมสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ การป้องกันจึงอาจทำได้ยาก แต่ในเบื้องต้น ผู้ป่วยก็ยังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดเข่าบวมได้ เช่น

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมที่มีการกระแทกที่หัวเข่ามาก ๆ
  • พยายามควบคุมน้ำหนักตัว
  • หากต้องทำกิจกรรมใด ๆ ที่เสี่ยงต่อการล้ม ควรใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการล้มเสมอ เช่น หากต้องปีนขึ้นที่สูง ก็ควรเลือกใช้บันไดที่แข็งแรงและมั่นคงแทนการปีนด้วยเก้าอี้
  • หากต้องทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาที่อาจมีการกระแทกที่เข่า ให้พยายามสวมใส่อุปกรณ์ที่เหมาะสมเสมอ และหากมีอาการปวดเข่าอยู่ก็ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน
  • ควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง รวมถึงควรคูลดาวน์และยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายด้วย