วิธีเลือกยาแก้ไอ เลือกอย่างไรให้ปลอดภัยและเหมาะกับอาการป่วย

แน่นอนว่ายาแก้ไอย่อมใช้รักษาอาการไอ แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบมาก่อนคือ ยาแก้ไอนั้นมีหลายชนิด และกลไกของยาแก้ไอแต่ละชนิดก็แตกต่างกัน หากเลือกชนิดของยาแก้ไอให้ถูกกับอาการไอก็จะช่วยบรรเทาอาการไอให้หายดียิ่งขึ้น

ยาแก้ไอโดยทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือยาแก้อาการไอแบบไม่มีเสมหะหรือยากดอาการไอ (Antitissusives) กลุ่มที่สองคือยาแก้ไอาการไอแบบมีเสมหะ เช่น ยาขับเสมหะ (Expectorants) และยาละลายเสมหะ (Mucolytics) 

ทั้งนี้ ยาทั้งสองกลุ่มนี้ก็มีจุดประสงค์การใช้ วิธีใช้ และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน เพื่อการใช้ยาให้ปลอดภัยมากขึ้นและช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยจากอาการไอ บทความนี้จึงได้นำวิธีเลือกยาแก้ไอให้เหมาะสมกับอาการไอของแต่ละคนมาฝากกัน 

วิธีเลือกยาแก้ไอ เลือกอย่างไรให้ปลอดภัยและเหมาะกับอาการป่วย

เลือกยาแก้ไออย่างไรให้เหมาะกับอาการไอ

การเลือกยาแก้ไอให้ตรงกับอาการไอมีวิธีแบ่งคร่าว ๆ เป็น 2 แบบ ดังนี้

  1. เลือกตามชนิดของอาการไอ

อาการไอแบ่งออกได้ 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นอาการไอแห้งหรือไอแบบไม่มีเสมหะ ส่วนใหญ่จะรักษาด้วยการใช้ยากดอาการไอ โดยตัวยาจะออกฤทธิ์กดประสาทเพื่อระงับอาการไอ ตัวอย่างยากดอาการไอที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ ยาเดกซ์โทรเมทอร์แฟน (Dextromethorphan) และยาโคเดอีน (Codeine) 

สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ ยากดอาการไอนั้นไม่ควรใช้รักษาอาการไอแบบมีเสมหะ เพราะอาจทำให้เสมหะเหนียวข้นมากขึ้นจนกระตุ้นให้อาการไอรุนแรงขึ้นได้ และการใช้ยากดอาการไออาจพบผลข้างเคียงทั่วไป อย่างง่วงซึม เวียนหัว คอแห้ง ปากแห้ง และท้องผูก

อาการไออีกแบบคือไอมีเสมหะ เราควรเลือกยาขับเสมหะและยาละลายเสมหะ ยากลุ่มนี้จะช่วยลดความข้นเหนียวของเสมหะและกระตุ้นให้ร่างกายขับเสมหะออกมามากขึ้น ในช่วงแรกของการใช้ยาอาจทำให้ไอถี่มากขึ้น แต่เมื่อขับเสมหะออกแล้วอาการไอจะดีขึ้นตามลำดับ

ตัวอย่างยาขับเสมหะที่ใช้กันทั่วไป คือ ยาไกวเฟนิซิน (Guaifenesin) ยาอะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine) และยาบรอมเฮกซีน (Bromhexine) ซึ่งยาแก้ไอสำหรับอาการไอมีเสมหะอาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และยาบางชนิดในกลุ่มนี้อาจมีส่วนผสมของยาขยายหลอดลมจึงอาจทำให้เกิดอาการใจสั่นร่วมด้วยได้

  1. เลือกตามสาเหตุของอาการไอ

เนื่องจากอาการไอเกิดได้จากหลายสาเหตุ ยาที่ใช้ในการรักษาก็อาจแตกต่างกันไปด้วยเพื่อบรรเทาอาการอย่างตรงจุด เช่น อาการไอและระคายคอจากอาการแพ้ ควรเลือกใช้ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เพราะยาแก้แพ้จะเข้าไปยับยั้งการผลิตสารฮิสตามีนที่จะหลั่งออกมาเมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการแพ้ อย่างอาการไอและระคายคอ

บางคนอาจมีอาการไอจากการติดเชื้อแบคทีเรียในลำคอและระบบทางเดินหายใจ อย่างโรคทอนซิลอักเสบและโรคคออักเสบ แพทย์จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาการติดเชื้อ แต่การใช้ยาปฏิชีวนะจำเป็นต้องใช้ตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ใช้ยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง ห้ามหยุดยาเอง และใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียเท่านั้น เพราะการใช้ยาไม่ต่อเนื่องและไม่ถูกโรคอาจทำให้ร่างกายดื้อต่อยา ส่งผลให้การติดเชื้อแบคทีเรียครั้งต่อไปรุนแรงและรักษายากขึ้น

นอกจากนี้ ยาบางชนิดหรือบางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของยาหลาย ๆ ชนิดรวมกัน จึงควรระมัดระวังการใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน

วิธีใช้ยาแก้ไอให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

นอกจากการเลือกชนิดยาแก้ไอให้ตรงกับอาการแล้ว ควรศึกษาวิธีการใช้ยาแก้ไออย่างปลอดภัย เช่น  

  • แจ้งแพทย์และเภสัชกรก่อนซื้อยาทุกครั้งเกี่ยวกับอาการที่พบ โรคประจำตัว ยาที่กำลังใช้ ประวัติแพ้ยา สถานะการตั้งครรภ์และให้นมบุตร นอกจากนี้ ควรแจ้งอายุของผู้ใช้ยา โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้เป็นผู้สูงอายุหรือเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี
  • ใช้ยาแก้ไอและยาอื่น ๆ ที่แพทย์สั่งจ่ายตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะยากดอาการไอและยาฆ่าเชื้อที่อาจเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้มากกว่ายาประเภทอื่น หากมีคำถามหรือสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกร
  • ห้ามใช้ยาแก้ไอหรือยาที่ออกฤทธิ์บรรเทาอาการไอมากกว่า 1 ชนิดพร้อมกัน เพราะอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาดและเกิดผลข้างเคียงได้

เมื่อใช้ยาแก้ไอไปสักระยะแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาการรุนแรงขึ้น เกิดอาการอื่น ๆ เช่น มีไข้ หายใจไม่อิ่ม ไอติดต่อกันนานหลายสัปดาห์ หรือกลับมามีอาการไออีกครั้งหลังหายดีแล้ว ควรไปพบแพทย์ ในกรณีที่พบผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลง อยู่ไม่สุข กระวนกระวาย รู้สึกสับสน ปัสสาวะไม่ออก หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะ หรืออาการอื่น ๆ ที่อาจเป็นสัญญาณของผลข้างเคียงอันตราย ควรไปพบแพทย์ทันที

การใช้ยาอย่างปลอดภัยและเลือกยาให้ถูกกับอาการอาจช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและหายจากอาการป่วยได้ดีขึ้น  นอกจากการใช้ยาแล้ว ควรดูแลตนเองด้วยการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม นอนหลับให้เพียงพอ งดสูบบุหรี่ และงดอาหารรสจัด สำหรับคนที่มักไอจากอาการภูมิแพ้ ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หากใครมีอาการไอจากการติดเชื้อควรสวมหน้ากากอนามัยเช่นกันเดียวกันเพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อโรค

ในกรณีที่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับอาการไอและการเจ็บป่วยของตนเอง หรือไม่มีความรู้ในการเลือกซื้อยาแก้ไอ การเข้ารับการตรวจจากแพทย์เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้รักษาอาการเจ็บป่วยได้อย่างตรงจุด