ริลพิไวรีน (Rilpivirine)

ริลพิไวรีน (Rilpivirine)

Rilpivirine (ริลพิไวรีน) เป็นยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) ชนิด HIV-1 ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) โดยตัวยาจะเข้าไปยับยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสไม่ให้ลุกลาม และช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้ดียิ่งขึ้น จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยลงและผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยา Rilpivirine ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดได้ ทำได้เพียงควบคุมการติดเชื้อภายในร่างกายและลดโอกาสของการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เท่านั้น โดยแพทย์มักนำยานี้มาใช่ร่วมกับยาต้าน HIV ชนิดอื่น ๆ ตามดุลยพินิจ

ริลพิไวรีน (Rilpivirine)

เกี่ยวกับยา Rilpivirine

กลุ่มยา ยาต้านไวรัสกลุ่ม NNRTI (Non-nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาการติดเชื้อเอชไอวีชนิด HIV-1
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร ยังไม่มีการจัดหมวดหมู่ของยาชนิดนี้จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FDA ซึ่งยาอาจส่งผลกระทบต่อมารดาหรือทารกในครรภ์ได้ สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยานี้
รูปแบบของยา ยารับประทาน

คำเตือนในการใช้ยา Rilpivirine

เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ 

  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา Rilpivirine รวมถึงยาชนิดอื่น ๆ 
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้ยา Rilpivirine หากผู้ป่วยมีประวัติทางสุขภาพ โดยเฉพาะอาการแพ้หรือผื่นผิวหนังที่รุนแรงหลังการใช้ยานี้ โรคตับอย่างไวรัสตับอักเสบบีและซี โรคไต โรคซึมเศร้า หรืออาการผิดปกติทางจิตใด ๆ 
  • เนื่องจากยานี้ไม่อาจป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นได้ ผู้ป่วยจึงควรสวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง และไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกันกับผู้อื่น เช่น แปรงสีฟันหรือที่โกนหนวด รวมถึงอาจขอคำแนะนำในการดูแลตัวเองวิธีอื่น ๆ จากแพทย์เพิ่มเติม 
  • ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือทำทันตกรรมใด ๆ ขณะใช้ยานี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอ
  • สตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีควรปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยาต้านเอชไอวี เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกให้ได้มากที่สุด
  • สตรีที่ป่วยเป็นโรคเอดส์หรือติดเชื้อเอชไอวีไม่ควรให้นมบุตร เพราะเชื้อไวรัสอาจซึมผ่านน้ำนมไปสู่ทารกได้
  • ยา Rilpivirine ใช้ในผู้ใหญ่ และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีน้ำหนักมากกว่า 35 กิโลกรัม  

ปริมาณการใช้ยา Rilpivirine

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยทั่วไป แพทย์อาจให้ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่ติดเชื้อเอชไอวีชนิด HIV-1 ซึ่งมีปริมาณไวรัสในเลือดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 100,000 copies/mL ที่ไม่เคยใช้ยาต้านเอชไอวีมาก่อน รับประทานยา Rilpivirine ในปริมาณ 25 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ร่วมกับยาต้านเอชไอวีชนิดอื่น ๆ

การใช้ยา Rilpivirine

ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดและใช้ยา Rilpivirine หรือยาต้านเอชไอวีชนิดอื่น ๆ ตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น โดยไม่ปรับเปลี่ยนปริมาณยาและระยะเวลาในการใช้ยา หรือหยุดใช้ยาด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้อาการดีขึ้นช้าลง การรักษาเป็นไปด้วยความยากลำบาก หรือเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่รุนแรง นอกจากนี้ควรรับประทานยา Rilpivirine พร้อมอาหารเสมอ

ปฏิกิริยาระหว่างยา Rilpivirine กับยาอื่น

ยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ ยาที่หาซื้อได้เอง วิตามิน หรือสมุนไพรบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยา Rilpivirine จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลงได้ หากผู้ป่วยกำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน โดยเฉพาะตัวยาต่อไปนี้

  • ยาลดกรด (Antacid) ที่ผู้ป่วยควรรับประทานก่อนยา Rilpivirine อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือหลังจากรับประทานยา Rilpivirine ไปแล้ว 4 ชั่วโมง
  • ยาปิดกั้นตัวรับฮีสตามีนชนิด H2 (H2 Blockers) เช่น ยาฟาโมทิดีน (Famotidine) และยาแรนิทิดีน (Ranitidine) ที่ผู้ป่วยควรรับประทานก่อนยา Rilpivirine อย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือหลังจากรับประทานยา Rilpivirine ไปแล้ว 4 ชั่วโมง
  • ยายับยั้งการหลั่งกรดกลุ่ม PPIs (Proton Pump Inhibitors: PPIs) เช่น ยาโอเมพราโซล (Omeprazole) และยาแลนโซพราโซล (Lansoprazole) เพราะอาจไปลดการดูดซึมยา Rilpivirine  ทำให้มีประสิทธิภาพลดลง จึงไม่ควรใช้ยาร่วมกัน
  • ยารักษาการติดเชื้อ โรคหอบหืด ปัญหาหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคซึมเศร้า อาการผิดปกติทางจิต โรคมะเร็ง และโรคมาลาเรีย รวมถึงยาต้านเอชไอวีชนิดอื่น ๆ เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อปัญหาเกี่ยวกับหัวใจที่รุนแรง 
  • ยาชนิดอื่น ๆ เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่มแมคโครไลด์ (Macrolide) ยากันชัก ยาไรแฟมพิน (Rifampin) และสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John's Wort) เพราะอาจส่งผลต่อการกำจัดยา Rilpivirine ออกจากร่างกายจนกระทบการทำงานของยาได้

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Rilpivirine

ผู้ป่วยที่ใช้ยา Rilpivirine อาจพบอาการข้างเคียงได้ เช่น นอนไม่หลับ ซึมเศร้า มีผื่นที่ผิวหนัง ปวดศีรษะ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของไขมันในร่างกาย หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรืออาการแย่ลง ผู้ป่วยควรไปปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ

ในกรณีที่พบอาการที่รุนแรงหรืออาการที่ผิดปกติต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาแล้วรีบไปพบแพทย์ทันที

  • มีสัญญาณของอาการแพ้หรืออาการทางผิวหนังที่รุนแรง เช่น ลมพิษ เวียนศีรษะ มีปัญหาในการหายใจ อาการบวมบริเวณใบหน้าและลำคอ มีไข้ เจ็บคอ แสบตา เจ็บที่ผิวหนัง หรือมีผื่นแดงหรือม่วงที่ผิวหนัง แต่มักเกิดได้น้อยมาก
  • มีสัญญาณของอาการแพ้ยาที่รุนแรง ซึ่งส่งผลต่ออวัยวะส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น มีผื่นที่ผิวหนัง มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม มีอาการคล้ายไข้หวัด ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนแรงอย่างมาก มีรอยช้ำที่ผิดปกติ หรือตาเหลือง ตัวเหลือง
  • มีผลกระทบต่อภูมิคุ้มกัน เนื่องจากตัวยาช่วยให้ระบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นกว่าเดิม และช่วยสู้กับการติดเชื้อในร่างกายที่เคยเป็นมาก่อน จึงอาจก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา เช่น น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ มีสัญญาณการติดเชื้ออย่างมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือไอ มีปัญหาในการพูดคุย การกลืน การทรงตัว หรือการกลอกตา ไทรอยด์เป็นพิษ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท  
  • มีสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ปวดท้องด้านขวาส่วนบน ปัสสาวะมีสีเข้ม ตาเหลือง หรือตัวเหลือง 
  • มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ วิตกกังวล รู้สึกเศร้าหรือสิ้นหวัง คิดอยากฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง