มะเดื่อฝรั่ง มีผลดีต่อสุขภาพจริงหรือ

มะเดื่อฝรั่ง หรือลูกฟิก (Fig) เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากมีรสชาติดีและอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร เชื่อกันว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งอาจมีส่วนช่วยรักษาโรคเบาหวาน บรรเทาอาการท้องผูก หูด และอาจมีประโยชน์ต่อผิวหนังด้วย

มะเดื่อฝรั่ง

มะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำและปราศจากไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก และผู้ที่อยากรับประทานอาหารอื่นแทนขนมขบเคี้ยวแต่ยังได้ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย โดยมะเดื่อฝรั่งแบบตากแห้ง 100 กรัม ประกอบด้วยกากใยอาหาร 9.8 กรัม ซึ่งกากใยอาหารนี้จะช่วยให้อิ่มท้องนานขึ้นและดีต่อสุขภาพหลายอย่าง ทั้งยังกระตุ้นการขับถ่าย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ มะเดื่อฝรั่งยังอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่หลายชนิด อาทิ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเค โพแทสเซียม สังกะสี เหล็ก และอื่น ๆ อีกมากมาย

คำกล่าวอ้างถึงประโยชน์ต่อสุขภาพของมะเดื่อฝรั่งนั้นเป็นจริงหรือไม่ มีการศึกษาค้นคว้าและหลักฐานทางการแพทย์บางส่วนกล่าวถึงแง่มุมต่าง ๆ ของมะเดื่อฝรั่งไว้ ดังนี้

มะเดื่อฝรั่งกับการต้านอนุมูลอิสระ

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่ายิ่งอายุเพิ่มขึ้นเซลล์ในร่างกายก็ยิ่งได้รับความเสียหายจากสารอนุมูลอิสระมากขึ้น และอาจเป็นเหตุให้เกิดปัญหาสุขภาพ หลายคนเชื่อว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งจะช่วยต้านอนุมลอิสระได้ เพราะมะเดื่อฝรั่งอุดมไปด้วยสารพอลีฟีนอล (Polyphenols) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งล้วนเป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ โดยสารเหล่านี้จะทำลายโมเลกุลหรือเซลล์ที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่งผลดีต่อสุขภาพ และอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ จอประสาทตาเสื่อม หรือโรคข้ออักเสบได้อีกด้วย

มะเดื่อฝรั่งกับโรคเบาหวาน

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นวิธีการรักษาโรคเบาหวาน บางรายอาจต้องใช้สารอินซูลิน ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ใบมะเดื่อฝรั่งประกอบไปด้วยสารเคมีที่อาจช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการศึกษาในด้านดังกล่าว นักวิจัยแนะนำว่าการดื่มชาจากใบมะเดื่อฝรั่งอาจช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลิน และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ได้

อย่างไรก็ตาม การศึกษาข้างต้นให้ผู้ที่เข้าร่วมการทดลองรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและยังคงได้รับอินซูลินเป็นประจำทุกวัน ดังนั้น ประสิทธิภาพการลดระดับน้ำตาลในเลือดของใบมะเดื่อฝรั่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพดังกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป

มะเดื่อฝรั่งกับการบรรเทาอาการท้องผูก

ท้องผูกเป็นอาการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติ หรือขับถ่ายไม่ออกเป็นเวลานาน ส่งผลให้อุจจาระแข็งและเคลื่อนตัวลำบาก การรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารน้อยอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท้องผูก ซึ่งมะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยกากใยอาหาร หลายคนจึงเชื่อว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งจะส่งผลดีและช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายได้ จากการศึกษาพบว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ส่งผลให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น และบรรเทาอาการแน่นท้อง จึงเป็นข้อมูลที่สนับสนุนว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการท้องผูก

มะเดื่อฝรั่งกับการรักษาหูด

หูดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีที่ผิวหนังชั้นบนสุด ทำให้เซลล์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วแล้วก่อตัวเป็นหูดขึ้น ส่วนใหญ่อาการหูดมักดีขึ้นเองโดยไม่ต้องรักษา แต่หากต้องรักษาอาจมีวิธีการ เช่น การจี้ด้วยความเย็น การใช้กรดซาลิไซลิก หรืออาจรักษาแบบดั้งเดิมด้วยการใช้ยางของมะเดื่อฝรั่ง ซึ่งจากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการรักษาหูดโดยการจี้ด้วยความเย็นกับการใช้ยางของมะเดื่อฝรั่งทาบริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าการรักษาหูดด้วยยางของมะเดื่อฝรั่งส่งผลดีในหลายด้าน ทั้งช่วยลดระยะเวลาในการรักษา ใช้งานง่าย ไม่พบผลข้างเคียง และมีอัตราการเกิดหูดซ้ำต่ำ

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาและหลักฐานต่าง ๆ ยังไม่สามารถอธิบายกลไกการรักษาหูดของยางมะเดื่อฝรั่งได้ จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพการรักษาหูดของยางมะเดื่อฝรั่งให้ชัดเจนต่อไป

มะเดื่อฝรั่งกับผลดีต่อผิวหนัง

ในอดีตมีการใช้มะเดื่อฝรั่งเพื่อรักษาโรคผิวหนังบางชนิด เช่น กลาก โรคสะเก็ดเงิน และโรคด่างขาว แม้ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดที่ยืนยันประสิทธิภาพของมะเดื่อฝรั่งต่อการรักษาโรคผิวหนังได้อย่างชัดเจน แต่มีการศึกษาหนึ่งชี้ว่า ครีมที่มีส่วนผสมของมะเดื่อฝรั่งส่งผลต่อผิวหนังหลายด้าน เช่น ลดเม็ดสีและรอยแดง เพิ่มความชุ่มชื้น ปรับสมดุลไขมันใต้ผิวหนัง และอาจมีประสิทธิภาพช่วยต่อต้านริ้วรอย กระ สิว และจุดด่างดำได้

รับประทานมะเดื่อฝรั่งอย่างไรให้ปลอดภัย

การรับประทานมะเดื่อฝรั่งทั้งผลสดหรือแบบตากแห้งในปริมาณที่พอเหมาะค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ และการรับประทานใบมะเดื่อฝรั่งเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคอาจปลอดภัยหากใช้ติดต่อกันไม่เกิน 1 เดือน

อย่างไรก็ตาม การบริโภคมะเดื่อฝรั่งมีข้อควรระวัง ดังนี้

  • การบริโภคมะเดื่อฝรั่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้และมีปฏิกิริยากับยาบางชนิดได้ ดังนั้น ควรรับประทานแต่ในปริมาณที่พอเหมาะ
  • การบริโภคยางมะเดื่อฝรั่งในปริมาณมากอาจทำให้มีเลือดออกที่ทางเดินอาหาร
  • มะเดื่อฝรั่งอาจช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสียได้
  • ผู้ที่แพ้ผลไม้ในวงศ์ขนุน (Moraceae) เช่น ขนุน หรือน้อยหน่า อาจแพ้มะเดื่อฝรั่งด้วยเช่นกัน
  • การสัมผัสกับผลหรือใบมะเดื่อฝรั่งอาจทำให้ผิวเกิดอาการแพ้และมีผื่นคันได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
  • มะเดื่อฝรั่งมีวิตามินเคสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ดังนั้น ผู้ที่รับประทานมะเดื่อฝรั่งควรวางแผนปริมาณการบริโภควิตามินเคที่ควรได้รับในแต่ละวัน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังใช้ยารักษาที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือดวาร์ฟาริน
  • การรับประทานมะเดื่อฝรั่งทั้งผลสดหรือแบบตากแห้งในปริมาณที่พอเหมาะค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์และกำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร แต่ยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยมากเพียงพอ หากรับประทานเป็นยารักษาโรคในปริมาณมาก
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเฝ้าระวังและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ เนื่องจากการรับประทานมะเดื่อฝรั่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้
  • ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานมะเดื่อฝรั่งก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะมะเดื่อฝรั่งอาจทำให้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้