พัฒนาการทารกแต่ละช่วงวัย

พัฒนาการทารก (Development of Infancy) คือ ความเปลี่ยนแปลงหรือการเจริญเติบโตเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ ของทารก โดยเริ่มตั้งแต่แรกคลอดจนถึงช่วงที่เริ่มเดินได้ ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาทั้งสิ้น 12 เดือน ทารกเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการทุกเดือน โดยพัฒนาการของทารกจะเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของแต่ละคน ทารกบางคนอาจพูดคำแรกได้เมื่ออายุ 8 เดือน ในขณะที่ทารกคนอื่นจะเริ่มพูดเมื่ออายุครบ 1 ขวบ ทั้งนี้ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการทางร่างกาย พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา และพัฒนาการด้านสังคม

พัฒนาการทารก

พัฒนาการทารกและวิธีดูแลทารกในแต่ละช่วงวัย

ทารกแต่ละคนมีพัฒนาการทางร่างกาย สติปัญญาและภาษา และด้านสังคม แตกต่างกันไปตามช่วงวัย อย่างไรก็ดี พัฒนาการทารกในช่วงอายุ  1 ปีซึ่งนับตั้งแต่แรกคลอด มักเกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้

ช่วงวัย 1-3 เดือน พัฒนาการทารกเริ่มตั้งแต่แรกคลอด นับจากแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน ถือเป็นช่วงที่ร่างกายและสมองของทารกเริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับโลกภายนอก ทารกจะเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • พัฒนาการทางร่างกาย
    • เมื่ออายุครบ 1-2 เดือน เด็กจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายได้บางส่วน ซึ่งเริ่มจากกล้ามเนื้อคอ เด็กจะเริ่มหันศีรษะจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน หรือชันคอขึ้นเมื่อนอนคว่ำท้องแนบพื้น โดยท่านอนคว่ำที่ใช้ท้องพยุงช่วยนี้แสดงให้เห็นว่าเด็กเริ่มมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่ปกติตามวัย เมื่ออายุครบ 2-3 เดือน เด็กจะชันคอเองได้นานขึ้น โดยตั้งศีรษะหรือคอค้างไว้สักพักหนึ่ง
    • กำและแบมือ
    • สัมผัสและจับสิ่งของได้ โดยอาจหยิบฉวยมาถือไว้แน่น
  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
    • จ้องหน้า สบตาและสังเกตใบหน้ามารดาขณะที่ให้นม รวมทั้งสังเกตความซับซ้อนของลักษณะสิ่งของ เช่น สี ขนาด รูปร่าง ทั้งนี้ ทารกจะชอบมองมือหรือเท้าตัวเองและเริ่มเล่นนิ้วมือ
    • เมื่ออายุครบ 2 เดือน เด็กจะเล่นนิ้วตัวเอง และมองตามสิ่งของที่เคลื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง และเมื่ออายุครบ 3 เดือน เด็กจะมองสิ่งต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวไปมารอบตัว
    • มีปฏิกิริยาต่อเสียงที่ได้ยิน โดยอาจนิ่งฟังหรือยิ้มตอบ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์
    • เมื่ออายุครบ 3 เดือน จะสนใจรูปร่างหรือเสียงที่ดึงดูดความสนใจ รวมทั้งหันมองตามเสียงนั้น
    • หัดพูดอ้อแอ้
  • พัฒนาการด้านสังคม
    • เมื่อพ่อแม่คุยหรือเล่นด้วย ทารกอาจยิ้มตอบ หรือพูดอ้อแอ้และเป่าน้ำลายเป็นฟอง
    • เลียนแบบสีหน้าของพ่อแม่ รวมทั้งโผเข้าหาพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงเมื่อต้องการความปลอดภัย ความรัก และการปลอบโยน
  •  วิธีดูแลพัฒนาการทารก สัมพันธภาพที่ดีระหว่างพ่อแม่กับทารกนับเป็นรากฐานของพัฒนาการที่สมบูรณ์ พ่อแม่ควรดูแลทารกในช่วงวัย 1-3 เดือน ได้ ดังนี้
    • ควรอุ้มหรือกอดทารกอย่างเบามือ ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น ทั้งนี้ ควรให้เด็กจ้องมองใบหน้าของผู้เลี้ยง และจับนิ้วมือหรือสัมผัสใบหน้าของผู้เลี้ยงด้วย
    • ควรสื่อสารกับทารก โดยถามคำถามเด็กหรือโต้ตอบเมื่อเด็กส่งเสียงอ้อแอ้ รวมทั้งอธิบายสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้ทารกฟังไปเรื่อย ๆ ด้วยถ้อยคำง่าย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเด็ก การพูดให้เด็กฟังจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษา และเรียนรู้ความรู้สึกจากการฟังน้ำเสียง
    • อุ้มเด็กโดยหันหน้าทารกออกด้านนอก รวมทั้งลองให้เด็กนอนคว่ำ และส่งเสียงกระตุ้นให้เด็กเงยศีรษะมองตาม อาจให้เด็กนอนคว่ำแค่ 2-3 นาที เนื่องจากการนอนคว่ำทำให้เด็กอึดอัดไม่สบายตัว นอกจากนี้ พ่อแม่ควรให้เด็กหลับในท่านอนหงาย
    • ควรดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดเมื่อเด็กร้องไห้ เนื่องจากเด็กอาจต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อม หิว หรืออยากให้กอด ทั้งนี้ การดูแลเอาใจใส่ยังช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทารกและแม่
  • ความผิดปกติทางพัฒนาการ พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตทารกว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่าง ๆ หรือไม่ และปรึกษาแพทย์ทันทีหากเด็กผิดปกติ โดยความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกช่วงวัย 1-3 เดือน มีดังนี้
    • ไม่ปรากฏพัฒนาการด้านการควบคุมหรือเคลื่อนไหวศีรษะ
    • ไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือภาพใด ๆ
    • ไม่ยิ้มตอบผู้คนหรือเมื่อได้ยินเสียงของพ่อแม่
    • ไม่มองตามสิ่งของที่เคลื่อนไหวไปมา
    • ไม่สังเกตมือของตัวเอง
    • ไม่หยิบฉวยหรือถือสิ่งของใด ๆ

ช่วงวัย 4-6 เดือน ทารกในช่วงวัยนี้จะเริ่มรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็กจะเรียนรู้และต้องการจัดการทุกสิ่งด้วยตัวเอง โดยพัฒนาการทารกช่วงวัย 4-6 เดือน เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • พัฒนาการทางร่างกาย
    • ขยับแขนขาแรงขึ้น
    • ยกศีรษะขึ้นเองได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า
    • ใช้แขนยันตัวเองขึ้นมาได้เมื่อต้องนอนคว่ำหน้า
    • เมื่ออายุครบ 4 เดือน เด็กจะเริ่มพลิกคว่ำพลิกหงาย โดยกลิ้งตัวจากหน้ามาหลัง และกลิ้งกลับจากหลังไปหน้าได้ โดยมักกลิ้งจากหน้าไปหลังได้ก่อน
    • เอื้อมมือจับของและนำมาถือไว้ในท่านอนหงายได้ รวมทั้งเริ่มหยิบของเข้าปากตัวเอง
    • เรียนรู้การส่งของจากมือข้างหนึ่งไปยังอีกมือข้างหนึ่ง รวมทั้งใช้มือคุ้ยของชิ้นเล็ก ๆ
    • เมื่ออายุครบ 6 เดือน นั่งได้เองโดยไม่ล้ม โดยจะใช้มือช่วยพยุงตัวเองชั่วครู่ในช่วงแรก และต่อมาจะนั่งได้เองนานถึง 30 วินาที และมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
    • แยกความแตกต่างของใบหน้าคนแปลกหน้าและคนที่รู้จักได้
    • เริ่มให้ความสนใจกับของเล่น สังเกตนิ้วมือและเท้าของตัวเอง รวมทั้งมองเงาสะท้อนของตัวเอง
    • หัวเราะออกมาเสียงดัง และยังพูดอ้อแอ้
    • เลียนแบบการแสดงสีหน้าและเสียงของพ่อแม่ ทั้งนี้ ทารกอาจพูดอ้อแอ้และหยุดเว้นช่วง เพื่อรอให้คนที่ตัวเองสื่อสารด้วยโต้ตอบกลับมา
  • วิธีดูแลพัฒนาการทารก ทารกช่วงนี้อยู่ในวัยเรียนรู้และสนุกสนานกับการเล่นไปพร้อมกัน โดยพ่อแม่ต้องช่วยดูแลเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ดังนี้
    • ควรพูดคุยกับเด็กเรื่อย ๆ รวมทั้งโต้ตอบเมื่อเด็กส่งเสียงอ้อแอ้ โดยใช้คำง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพราะการสื่อสารมีส่วนช่วยในการสร้างพัฒนาการทางภาษา
    • ให้เด็กนอนคว่ำ และนำของเล่นหรือส่งเสียงเพื่อกระตุ้นให้เด็กหันศีรษะมองตามและฝึกกลิ้งตัว ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงควรจับมือเด็กและพูดกระตุ้นให้เด็กลุกขึ้นยืน โดยนับ 1-3 สามและดึงเด็กให้ลุกขึ้นยืนเบาๆ หากจะฝึกให้นั่ง ควรหาหมอนมาช่วยหนุนตัวเด็กไม่ให้ล้ม
    • เลือกของเล่นที่มีสีสันสดใสหรือมีเสียง เช่น ของเล่นไขลานที่มีเสียงดนตรี ของเล่นเด็กที่เขย่าแล้วมีเสียง หรือตุ๊กตาตัวนุ่มๆ รวมทั้งเลี่ยงของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็กๆ ทั้งนี้ ควรนำของเล่นออกมาให้เด็กเล่นครั้งละ 1-2 ชิ้น เพื่อฝึกให้เด็กมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ
    • ลองเลื่อนของเล่นออกห่างจากตัวเด็ก เพื่อกระตุ้นให้เด็กเอื้อมหรือคลานไปหยิบมา
    • อ่านหนังสือให้เด็กฟัง โดยเลือกหนังสือเล่มใหญ่ที่มีภาพสีสันสดใส และบรรยายให้เด็กฟัง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการพูดและคิด
    • เล่นจ๊ะเอ๋กับเด็ก หรือเล่นซ่อนหา โดยนำของเล่นไปซ่อนและกระตุ้นให้เด็กหาให้เจอ
    • ควรกอดและกล่อมเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
    • เปิดเพลงหรือดนตรีให้ฟัง เพื่อให้เด็กผ่อนคลาย
    • ดูแลทารกอย่างใกล้ชิด โดยสังเกตว่าเด็กต้องการ ชอบหรือไม่ชอบอะไร
  • พัฒนาการด้านสังคม
    • รู้สึกสนุกเมื่อได้เล่น และจะร้องไห้เมื่อหยุดเล่น
    • เลียนแบบการเล่นทำเสียงได้
    • มักโผเข้าหาแม่หรือพ่อ และจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อไม่เห็นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ
    • จดจำใบหน้าพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดได้ รวมทั้งรู้จักชื่อของตัวเอง
  • ความผิดปกติทางพัฒนาการ พ่อแม่ควรพบแพทย์ทันทีหากทารกเกิดความผิดปกติด้านพัฒนาการ ความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกในช่วงวัยนี้ ได้แก่
    • กล้ามเนื้อแข็งตึง
    • ตัวอ่อนปวกเปียกอย่างเห็นได้ชัด
    • เอื้อมมือไปแตะสิ่งของได้แค่ข้างเดียว
    • ไม่ปรากฏสัญญาณของการเคลื่อนไหวหรือควบคุมศีรษะ
    • ไม่ตอบสนองต่อแสงหรือภาพต่าง ๆ
    • ไม่จับสิ่งของ หรือหยิบสิ่งของใส่ปากตัวเอง
    • ไม่พยายามกลิ้งตัวหรือนั่ง
    • ตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างเขเข้าหรือเขออก
    • ไม่หัวเราะหรือร้องออกมา

ช่วงวัย 7-9 เดือน ทารกในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่มากขึ้น เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวและกลิ้งตัวได้มากขึ้น ทารกจะคิดหาวิธีเคลื่อนไหวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการ ดังนี้

  • พัฒนาการทางร่างกาย
    • เคลื่อนไหวไปมามากขึ้น โดยเริ่มจากหัดคลาน และไถก้นไปกับพื้น ทั้งนี้ เด็กอาจหัดคลานโดยใช้แขนและขาช่วยนอกเหนือไปจากการคลานด้วยมือหรือเข่า อย่างไรก็ตาม ทารกบางคนอาจไม่คลานเลย แต่จะหัดเคลื่อนไหวจากการไถก้นไปกับพื้นไปจนถึงเริ่มเดินได้
    • นั่งได้เองโดยไม่ล้ม
    • หมุนกลิ้งได้ทั้งจากหน้าไปหลัง หรือจากหลังมาหน้า รวมทั้งกลิ้งตัวขณะที่หลับอยู่
    • ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนได้
    • มักปีนป่ายเก้าอี้หรือโต๊ะ
    • เรียนรู้การใช้นิ้วมือ รู้จักหยิบของด้วยนิ้วสองนิ้ว รวมทั้งเริ่มปรบมือเป็น
    • ปีนป่ายและคลานได้
  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
    • มีปฏิกิริยาต่อถ้อยคำที่คุ้นเคย โดยเด็กอาจหยุดหรือจ้องหน้าแม่ หากได้ยินคำว่า     "ไม่" รวมทั้งหันมองเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง
    • แยกอารมณ์ความรู้สึกได้จากการฟังน้ำเสียง
    • เริ่มเปล่งเสียงพูดคำว่า “พ่อ” หรือ “แม่” ได้
    • รู้จักเรียนรู้การใช้สิ่งของต่าง ๆ
  • พัฒนาการด้านสังคม
    • เล่นเกมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น เล่นจ๊ะเอ๋
    • กังวลเมื่อต้องอยู่กับคนแปลกหน้า เด็กจะไม่อยากอยู่กับคนอื่นนอกจากแม่ หรือจะหาทางหนีไปที่อื่นหากรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ใกล้ ๆ
    • มีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ความรู้สึกที่พ่อแม่แสดงออกมา
  • วิธีดูแลพัฒนาการทารก ทารกในช่วงวัยนี้ยังคงเรียนรู้และเล่นกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปพร้อมกัน พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงควรดูแลทารกเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก ดังนี้
    • ควรพูดคุยกับเด็กเรื่อย ๆ โดยเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง และรอให้เด็กส่งเสียงโต้ตอบกลับมา หรือพูดบางอย่างและให้เด็กพูดตาม
    • หาเวลาเล่นกับเด็ก โดยอาจเล่นอย่างอื่นนอกเหนือจากการเล่นที่เคยเล่นมา เช่น เรียงตัวต่อซ้อนขึ้นเป็นชั้นแล้วให้เด็กพังตัวต่อนั้น รวมทั้งให้เด็กเล่นของเล่นที่เสริมสร้างจินตนาการ เช่น ระบายสีหรือละเลงอาหารบนถาดที่เตรียมไว้
    • อ่านหนังสือให้เด็กฟัง โดยเปลี่ยนน้ำเสียงและแสดงสีหน้าออกมาให้แตกต่างกัน เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาของเด็ก รวมทั้งเก็บหนังสือไว้ในที่ที่เด็กหยิบได้ เพื่อให้เด็กหยิบหนังสือมาดูภาพเพื่อผ่อนคลายความเครียด
    • เปิดเพลงหรือดนตรีเบา ๆ ให้เด็กฟัง เพื่อให้เด็กผ่อนคลายและรู้สึกเพลิดเพลิน
    • หาสิ่งของที่นุ่ม ปลอดภัย เพื่อให้เด็กรู้สึกอุ่นใจที่มีของสิ่งนั้นอยู่ด้วยในกรณีที่ต้องห่างจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยง หรือยามที่เด็กรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
  • ความผิดปกติทางพัฒนาการ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงควรหมั่นสังเกตการแสดงออกของทารกว่าเกิดความผิดปกติใด ๆ ขึ้นหรือไม่ โดยความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกในช่วงวัย 7-9 เดือน มีดังนี้
    • ไม่กลิ้งตัวหมุน หรือไม่ลุกขึ้นนั่ง
    • ไม่เอื้อมไปหยิบสิ่งของ หรือไม่หยิบสิ่งของเข้าปาก
    • ไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือภาพใดๆ
    • ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ หรือเลียนแบบเสียงใด ๆ

ช่วงวัย 10-12 เดือน ช่วงสุดท้ายของพัฒนาการทารกในช่วง 1 ปีแรกนี้ นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของทารก เนื่องจากทารกอายุ 10-12 เดือน กำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นเด็กเล็กหัดเดินได้ ทารกจะมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • พัฒนาการทางร่างกาย
    • เกาะราวและลุกขึ้นยืนได้เอง และอาจเดินก้าวแรกได้ด้วย โดยเด็กจะก้าวได้เองเมื่ออายุครบ 12 เดือน
    • เริ่มเดินเตาะแตะเพื่อสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ไปทั่วบ้าน
    • ปีนป่ายตามเก้าอี้หรือโต๊ะ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเดินของเด็ก
    • วางของเล่นเรียงซ้อนกัน   
    • เปิดหนังสือไปหน้าอื่นขณะที่พ่อแม่กำลังอ่านอยู่
    • มักช่วยพ่อแม่แต่งตัวให้ตัวเอง
    • เริ่มหยิบอาหารกินเอง
  • พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา
    • ส่งเสียงอ้อแอ้และพูดคำง่าย ๆ ได้ เช่น คำว่า "หม่ำ ๆ"  “มามา” “ปาปา” หรือ "ดาดา" ได้
    • มักพูดคำที่พูดได้บ่อยอยู่ 2-3 คำ ซึ่งมักเป็นคำว่า "หม่ำ ๆ" “มามา” และ "ปาปา"
    • เลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่ เช่น หวีผมตัวเอง กดรีโมตเล่น หรือทำเป็นคุยโทรศัพท์ เป็นต้น
    • ชี้ไปที่สิ่งของที่อยากได้เพื่อให้พ่อแม่สนใจ
    • เข้าใจประโยคบางประโยคที่คนใกล้ชิดสื่อสารออกมา รวมทั้งทำตามคำสั่งง่าย ๆ ได้
    • เปล่งเสียงอุทานออกมาได้
    • โบกไม้โบกมือ หรือชี้นิ้วไปยังสิ่งของที่อยู่เกินเอื้อม
  • พัฒนาการด้านสังคม
    • รู้จักแสดงความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบกินอะไร เช่น ทิ้งช้อนไม่กินข้าวต่อ หรือเลื่อนจานอาหารที่ไม่ชอบออกไป
    • ชอบเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่ เช่น เลียนแบบการคุยโทรศัพท์
    • รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์ เช่น เด็กจะรู้ได้ว่าหากร้องไห้ แม่จะมาหา
  • วิธีดูแลพัฒนาการทารก ทารกช่วงวัยนี้เริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งต่าง ๆ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงควรดูแลความปลอดภัยและกระตุ้นพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกควบคู่กันไป โดยทำได้ ดังนี้
    • ควรจัดสรรเวลาสำหรับอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวัน โดยอาจใช้เวลาอ่านหนังสือไม่นาน ทั้งนี้ ควรแสดงสีหน้าหรือแสดงน้ำเสียงประกอบการอ่านให้น่าสนใจ
    • ควรพูดคุยกับเด็กอยู่เสมอ เช่น เมื่อเด็กเอื้อมมือไปหยิบหนังสือลงมาจากชั้นวางหนังสือ อาจถามหรือพูดคุยกับเด็ก โดยเว้นช่วงให้เด็กส่งเสียงโต้ตอบกลับมา หรือถามคำถามเด็กเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ
    • ทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งซ้ำมากกว่ารอบเดียว เช่น เรียงตัวต่อให้เด็กพังลงมา แล้วเรียงใหม่เพื่อให้เด็กพังลงมาอีกรอบ หรือหากเด็กเปิดหนังสือย้อนกลับไปหน้าที่ผ่านมาแล้ว ก็อ่านหนังสือหน้านั้นให้เด็กฟังอีกครั้ง การทำอะไรซ้ำ ๆ เช่นนี้้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ตัวเด็ก รวมทั้งเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับเด็กให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
    • เปิดเพลงหรือดนตรีคลอเบา ๆ เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย
    • สอนให้เด็กรู้จักคำง่าย ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งของรอบตัว
    • ควรดูแลเด็กไม่ให้เข้าใกล้เหตุการณ์หรือสิ่งที่เป็นอันตราย รวมทั้งห้ามปรามเมื่อเด็กทำตัวไม่เหมาะสม โดยอธิบายอย่างใจเย็นและดึงความสนใจเด็กด้วยของเล่นหรือสิ่งที่เด็กชอบ
  • ความผิดปกติทางพัฒนาการ อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงพบสัญญาณที่แสดงความผิดปกติทางด้านพัฒนาการ ควรปรึกษาแพทย์ทันที ซึ่งความผิดปกติเกี่ยวกับพัฒนาการของทารก มีดังนี้
    • ไม่คลานหรือใช้ลำตัวด้านใดด้านหนึ่งไถไปขณะคลาน
    • ไม่ยืนแม้พ่อแม่จะช่วยก็ตาม
    • ไม่แสดงท่าทางต่าง ๆ เช่น ไม่โบกมือหรือส่ายศีรษะ
    • ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ หรือพยายามพูดคำว่า "มามา" หรือ "ปาปา"
    • ไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
    • ไม่ประสานสายตาด้วย

วิธีดูแลความปลอดภัยของทารก

พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทารก และดูแลทารกให้ปลอดภัยได้ โดยวิธีดูแลทารกให้ปลอดภัยทำได้ ดังนี้

  • ไม่เขย่าตัวทารก เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อสมองหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ควรให้เด็กนอนหลับในท่านอนหงาย เพื่อป้องกันภาวะเสียชีวิตเฉียบพลันในเด็กทารก (Sudden Infant Death Syndrome: SIDS)
  • ไม่ควรให้เด็กได้รับอันตรายจากควันบุหรี่จากคนที่สูบบุหรี่
  • ควรให้เด็กนั่งเบาะหลังโดยใช้ที่นั่งสำหรับเด็กทารกโดยเฉพาะเมื่อต้องโดยสารรถยนต์
  • ควรตัดอาหารเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเลี่ยงให้เด็กกินผลไม้ที่มีเมล็ดหรือถั่วต่าง ๆ เพื่อป้องกันไอาหารติดคอ รวมทั้งไม่ให้เด็กเล่นของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็ก ๆ เพื่อป้องกันเด็กเอาเข้าปากและกลืนลงคอ
  • ไม่ถือของร้อนเข้าใกล้เด็ก
  • ควรพาเด็กไปรับวัคซีนป้องกันโรคให้ครบอย่างสม่ำเสมอ