ชาปลายนิ้ว

ความหมาย ชาปลายนิ้ว

ชาปลายนิ้วเป็นอาการเหน็บชาที่ทำให้ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึกบริเวณนิ้วมือ อาจทำให้นิ้วมือและมือไม่มีแรงหยิบจับสิ่งของ เกิดขึ้นกับมือเพียงข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง และในบางครั้งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย อย่างรู้สึกเจ็บแปลบคล้ายถูกเข็มตำที่ปลายนิ้ว หรือปวดแสบปวดร้อนที่ปลายนิ้ว

โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดจากภาวะเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงมือ หรือเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณจากสมองเพื่อควบคุมการทำงานและการรับความรู้สึกของมือและนิ้วมือ

ชาปลายนิ้ว

อาการชาปลายนิ้ว

  • บริเวณปลายนิ้วมือไม่มีความรู้สึก เหน็บชา ไม่มีแรง
  • รู้สึกเจ็บแปลบคล้ายถูกเข็มตำที่ปลายนิ้ว
  • รู้สึกปวดหรือปวดแสบปวดร้อนที่ปลายนิ้ว

อาการสำคัญที่ควรไปพบแพทย์

หากผู้ป่วยมีอาการชาปลายนิ้ว ควรสังเกตลักษณะอาการที่เกิดขึ้น หรืออาการที่เกิดร่วมกับชาปลายนิ้ว แล้วไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาหากมีภาวะอาการดังต่อไปนี้

  • อาการชาลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย หรือลามไปทั่วร่างกาย
  • ชาปลายนิ้วเป็นเวลานานแล้วอาการไม่หายไป หรือมีอาการหนักขึ้น
  • มีอาการชาปลายนิ้วบ่อย ๆ แบบเป็น ๆ หาย ๆ
  • มีอาการชาเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ชานิ้วเพียงนิ้วเดียว
  • อาการเหล่านั้นรบกวนการทำกิจกรรมและการเคลื่อนไหวร่างกาย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ หรือขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หากมีอาการชาปลายนิ้วร่วมกับภาวะอาการป่วยที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายอื่น ๆ เพราะอาจเป็นสัญญาณของอาการป่วยร้ายแรงอย่างภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน ซึ่งทำให้เกิดอาการอัมพาตได้ เช่น

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างกะทันหัน
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและกะทันหัน
  • พูดจาติดขัด พูดไม่รู้เรื่อง มีความยากลำบากในการพูดสื่อสาร
  • วิงเวียนศีรษะ สับสนมึนงง

สาเหตุของอาการชาปลายนิ้ว

อาการชาปลายนิ้วเกิดจากเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงมือหรือเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณจากสมองเพื่อควบคุมการทำงานและการรับความรู้สึกของมือและนิ้วมือถูกกดทับ ได้รับการกระทบกระเทือน หรือเกิดความเสียหาย หรืออาจเป็นเหตุมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคและภาวะต่าง ๆ เช่น

  • โรคการกดทับเส้นประสาทข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) เส้นประสาทที่รับความรู้สึกบริเวณมือถูกกดทับหรืออุดตัน ทำให้เกิดอาการชาโดยเฉพาะบริเวณนิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง
  • ภาวะกระดูกคอทับเส้นประสาท (Cervical Radiculopathy) เกิดจากเส้นประสาทบริเวณคออักเสบหรือถูกกดทับ จนทำให้เกิดอาการชาคล้ายกับโรคการกดทับเส้นประสาทข้อมือ
  • การกดทับเส้นประสาทอัลนาร์ (Ulnar Nerve Entrapment) เกิดการกดทับบริเวณเส้นประสาทอัลนาร์ที่หล่อเลี้ยงควบคุมการทำงานของนิ้วนางและนิ้วก้อย ทำให้เกิดอาการชาที่นิ้วดังกล่าว
  • โรคเรย์นอด (Raynaud’s Disease) เป็นอาการป่วยที่หลอดเลือดแดงเล็กที่อยู่ในนิ้วเกิดการหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงปลายนิ้ว จึงเกิดอาการชาและอาจกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตได้ด้วย
  • โรคเบาหวาน (Diabetes) ภาวะอาการเส้นประสาทจากเบาหวาน (Diabetic Neuropathy) ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่เส้นประสาทบริเวณมือและเท้า นำไปสู่อาการชาปลายนิ้วบริเวณนิ้วมือหรือนิ้วเท้าได้
  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการอักเสบบวม และสร้างความเจ็บปวดบริเวณข้อต่อกระดูก ซึ่งทำให้เกิดอาการชา รู้สึกเหมือนเข็มตำ หรือปวดแสบปวดร้อนบริเวณมือและนิ้วมือได้

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เส้นประสาทเสียหาย จนนำไปสู่อาการชาปลายนิ้วได้ เช่น

  • โรคพิษสุราเรื้อรัง ทำให้ปลายประสาทเสื่อม
  • โรคอะไมลอยโดสิส (Amyloidosis) เป็นโรคความผิดปกติของการสะสมโปรตีนอะไมลอยในร่างกาย
  • มีซีสต์ที่ข้อมือ (Ganglion Cyst) ทำให้เส้นประสาทที่ข้อมือถูกดทับ
  • กระดูกข้อมือ หรือกระดูกมือแตกหัก
  • โรคจีบีเอส หรือกิลแลง บาร์เร ซินโดรม (Guillain-Barré Syndrome) ซึ่งทำให้เส้นประสาทหลายแห่งเกิดการอักเสบ เช่น มือ แขน หรือ ขา
  • การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) และกลุ่มอาการเอดส์ (AIDS)
  • โรคเอ็มเอส หรือโรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis)
  • โรคซิฟิลิส (Syphilis) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง
  • โรคเรื้อน (Leprosy)
  • โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis)
  • ภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน (Stroke)
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น การทำเคมีบำบัด
  • โรคปากแห้งตาแห้ง หรือกลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s Syndrome)
  • ภาวะขาดวิตามิน B-12
  • โรคไลม์ (Lyme Disease) ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียจากเห็บสุนัข

การวินิจฉัยอาการชาปลายนิ้ว

ในขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย เบื้องต้นแพทย์จะสอบถามอาการที่เกิดขึ้น อาการนั้นเกิดมานานเพียงใด เกิดขึ้นบ่อยหรือไม่ รวมทั้งซักประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการรักษาและการใช้ยา จากนั้นแพทย์จะตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจความดันโลหิต และตรวจร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการชา เช่น นิ้วมือ มือ เท้า แขน และขา เพื่อตรวจการทำงานของระบบประสาท อย่างตรวจการเคลื่อนไหวและการรับความรู้สึก

หากแพทย์มีข้อสงสัย อาจส่งตรวจด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติมเพื่อประกอบการวินิจฉัย หรืออาจส่งต่อผู้ป่วยให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางระบบประสาทโดยเฉพาะ

โดยแพทย์อาจใช้วิธีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการชาปลายนิ้ว เช่น

  • การฉายภาพเอกซเรย์ เช่น การฉายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติบริเวณกระดูกนิ้วมือ มือ ข้อมือ แขน หัวไหล่ หรือกระดูกคอ ซึ่งกระดูกอาจหลุด เคลื่อน หรือแตกหัก ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจสัมพันธ์กับอาการชาปลายนิ้ว เนื่องจากกระดูกเหล่านั้นอาจไปกดทับสร้างความเสียหายแก่เส้นประสาทได้เช่นกัน
  • การตรวจเลือด แพทย์จะเจาะเลือดนำตัวอย่างส่งตรวจในห้องปฏิบัติ เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการชาปลายนิ้วที่อาจเกิดจากการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือภาวะขาดวิตามิน B12 หรือการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ เป็นต้น

การรักษาอาการชาปลายนิ้ว

เมื่อมีอาการชาปลายนิ้วเกิดขึ้น ผู้ป่วยอาจรักษาบรรเทาอาการด้วยตนเองในเบื้องต้น เช่น

  • หยุดพักการทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกเจ็บ หรือมีอาการชา
  • ปลดหรือคลายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและรองเท้าที่สวมใส่อยู่ให้หลวมขึ้น
  • ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ขยับนิ้วมือแขนขา หลังจากนั่งหรืออยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานจนทำให้เกิดอาการชาปลายนิ้ว
  • ออกกำลังบริหารร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณนิ้วและแขนขา เช่น ยืดและกางนิ้วให้ตึง สะบัดแขน หมุนไหล่
  • อาจใช้น้ำแข็งช่วยประคบบริเวณที่มีอาการอักเสบบวม

หากอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการเกิดขึ้นบ่อย ๆ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือทำให้ผู้ป่วยเกิดความกังวลใจ ผู้ป่วยควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจรักษา โดยแพทย์จะรักษาตามอาการและสาเหตุที่มาของอาการชาปลายนิ้ว เช่น

การใช้ยา แพทย์อาจจ่ายยาหรือแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาแก้ปวดและยาต้านอาการอักเสบที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ (NSAIDs) ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาเพื่อรักษาอาการอักเสบของเส้นประสาทที่ทำให้ชาปลายนิ้ว เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน เป็นต้น ทั้งนี้ หากผู้ป่วยรับประทานยาแล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจต้องรักษาด้วยการฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบ

การใส่เฝือก หรือใส่ผ้ารัดบริเวณข้อมือและข้อศอก เพื่อให้กระดูกบริเวณนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นการรักษาภาวะกระดูกกดทับเส้นประสาท

การผ่าตัด แพทย์อาจทำการผ่าตัดเส้นประสาทถูกกดทับหรือได้รับความเสียหายในผู้ป่วยบางราย เช่น การผ่าตัดแก้ไขเส้นประสาทที่กดทับทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้วนางกับนิ้วก้อย การผ่าตัดแก้ไขเส้นประสาทอัลนาร์ การผ่าตัดนำกระดูก เนื้อเยื่อ หรือสิ่งที่กดทับเส้นประสาทออก

นอกจากนี้ แพทย์จะพิจารณาทำการรักษาตามอาการและสาเหตุที่มาของอาการอย่างเหมาะสมเป็นรายกรณี

การป้องกันอาการชาปลายนิ้ว

  • ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ รักษาสุขอนามัย และไปตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำ
  • ควบคุมอาหาร รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการ และให้สารอาหารครบถ้วน เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่ทำให้เกิดอาการชาปลายนิ้วอย่างวิตามิน B12 หรืออาจรับประทานอาหารเสริมต่าง ๆ หากมีภาวะขาดวิตามินและธาตุต่าง ๆ โดยควรใช้อาหารเสริมอย่างถูกต้องเหมาะสมภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์เสมอ
  • หากต้องนั่งทำงานหรือกิจกรรมใดเป็นเวลานาน ๆ ให้อยู่ในท่าและตำแหน่งที่เหมาะสมเสมอ เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บจากการทำงานหรือการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ
  • ควรหยุดพักจากการทำงาน การอยู่ในท่าเดิม หรือการทำกิจกรรมซ้ำ ๆ เป็นระยะทุก 30 นาที-1 ชั่วโมง
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบาดเจ็บบริเวณมือและข้อมือ เช่น ใช้หมอนรองข้อมือในขณะพิมพ์งานด้วยคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
  • ขยับ เคลื่อนไหวร่างกาย ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ เพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อ เช่น การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ อย่างโยคะ หรือพิลาทิส เป็นต้น
  • ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บบริเวณกระดูกคอ เช่น ไม่ยกของหนัก ไม่เคลื่อนไหวท่าเดิมซ้ำ ๆ ไม่นั่งหรืออยู่ในท่าที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพ
  • หากกำลังเจ็บป่วยหรือมีโรคประจำตัว ต้องเข้ารับการรักษา รับประทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยไปตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำ และไปพบแพทย์ตามนัดหมายเสมอ
  • งดดื่ม หรือไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไป
  • หากเกิดอาการชาปลายนิ้วที่ไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะยังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ แต่หากมีอาการรุนแรง หรืออาการที่เกิดขึ้นสร้างความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการขับรถ หรือใช้บริการรถสาธารณะแทนการขับขี่ยานพาหนะด้วยตนเอง
  • ปรึกษาแพทย์หรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วยใด ๆ ที่เกิดขึ้น