Hydroxyurea (ไฮดรอกซียูเรีย)

Hydroxyurea (ไฮดรอกซียูเรีย)

Hydroxyurea (ไฮดรอกซียูเรีย) เป็นยารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังมัยอีลอยด์ มะเร็งรังไข่ มะเร็งผิวหนังบริเวณศีรษะและลำคอชนิดสะความัสเซลล์ โดยตัวยาจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง อีกทั้งอาจนำมาใช้รักษาภาวะเม็ดเลือดแดงข้น ช่วยลดความเจ็บปวดและความจำเป็นในการเปลี่ยนถ่ายเลือดของผู้ป่วยโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงรูปเคียว หรืออาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

hydroxeyurea

เกี่ยวกับยา Hydroxyurea

กลุ่มยา ยารักษามะเร็ง
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังมัยอีลอยด์ มะเร็งรังไข่ มะเร็ง
ผิวหนัง ภาวะเม็ดเลือดแดงข้น
กลุ่มผู้ป่วย เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์
และผู้ให้นมบุตร
Category D จากการศึกษาในมนุษย์ พบความเสี่ยงทำให้เกิดความผิดปกติ
ต่อทารกในครรภ์ จะใช้ก็ต่อเมื่อพิจารณาแล้วว่า ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ
มารดาและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดต่อทารกในครรภ์ โดยมากมักใช้
ในกรณีที่จำเป็นในการช่วยชีวิต หรือใช้รักษาโรคร้ายแรงของมารดา
ซึ่งไม่สามารถใช้ยาอื่น ๆทดแทนได้ ผู้ป่วยจึงไม่ควรให้นมบุตรระหว่าง
การใช้ยาเนื่องจากยาอาจปะปนกับน้ำนม

คำเตือนในการใช้ยา Hydroxyurea

ยาไฮดรอกซียูเรียมีข้อควรทราบก่อนการใช้ ดังนี้

  • แจ้งเแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับอาการแพ้ยาและอาการแพ้อื่น ๆ ก่อนการรับประทานยา เนื่องจากยา Hydroxyurea อาจมีส่วนผสมที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้
  • แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต โรคตับ ติดเชื้อเอชไอวี โรคเอดส์ กรดยูริกในเลือดสูง กำลังอยู่ในขั้นตอนการรักษาหรือเคยรับการรักษาด้วยรังสี การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เคมีบำบัด และผู้ที่มีความผิดปกติของเลือดและไขกระดูก 
  • ก่อนเข้ารับการผ่าตัดควรแจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์เกี่ยวกับยาที่กำลังใช้ ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ และยาสมุนไพร เนื่องจากการใช้ยา Hydroxyurea ชนิดแคปซูลอาจมีปฏิกิริยาต่อยาที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ของยาลดลงหรือเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เช่น ยาไดดาโนซีนหรือยาสตาวูดีนที่ใช้ในผู้ป่วยโรคเอชไอวี หากใช้กับยา Hydroxyurea อาจเพิ่มความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อตับ ตับอ่อน และเส้นประสาท
  • ปรึกษาแพทย์หากกำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ 
  • การใช้ยาไฮดรอกซียูเรียอาจส่งผลกระทบต่อการให้กำเนิดบุตร ผู้หญิงควรคุมกำเนิดเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนนับตั้งแต่การรับประทานยา Hydroxyurea ครั้งสุดท้าย สำหรับผู้ชายควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงจากการใช้ยา เนื่องจากผลข้างเคียงอาจส่งผลกระทบต่ออสุจิ โดยควรคุมกำเนิดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี หลังการรับประทานยาครั้งสุดท้าย
  • แจ้งแพทย์ทันทีหากเกิดการตั้งครรภ์ระหว่างการใช้ยา
  • ยาไฮดรอกซียูเรียอาจส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายหรือทำให้อาการติดเชื้อที่เป็นอยู่แย่ลง ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หากพบว่ามีไข้ หนาวสั่น ปวดตามร่างกาย อ่อนเพลีย หายใจสั้น เกิดรอยฟกช้ำหรือเลือดไหลผิดปกติ
  • ไม่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเชื้อเป็นหรือสารสร้างภูมิคุ้มกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์ และควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ที่เพิ่งรับการฉีดวัคซีน
  • ในระหว่างการใช้ยาควรระมัดระวังการใช้ของมีคม การเกิดบาดแผล อาการบาดเจ็บ รวมทั้งหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการปะทะ
  • ผู้สูงอายุเป็นช่วงอายุที่ไวต่อยามากกว่าช่วงอายุอื่น ๆ จึงอาจทำให้ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ง่าย
  • การใช้ยาชนิดนี้อาจกระตุ้นการพัฒนาของเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยเฉพาะมะเร็งผิวหนัง ผู้ป่วยควรทาครีมกันแดดหรือใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด
  • ระวังการสัมผัสโดนผงยา หากผงยาโดนผิวหนัง ควรทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่ทันที
  • สตรีตั้งครรภ์ไม่ควรจับหรือสูดดมผงแป้งจากยาชนิดนี้ เนื่องจากผงสามารถซึมเข้าทางผิวหนังและปอด ซึ่งเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์
  • เก็บยาไว้ในบรรจุภัณฑ์อย่างมิดชิดและเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง โดยให้ห่างจากความชื้นและความร้อน

ปริมาณการใช้ยา Hydroxyurea

ปริมาณการใช้ยา รูปแบบยา และจำนวนครั้งของการรับประทานยาจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย โรคที่ต้องการรักษา ความรุนแรงของอาการ การใช้ยาอื่น ๆ ในขณะเดียวกัน และการตอบสนองต่อปริมาณยาในการรับประทานครั้งแรก 

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังมัยอีลอยด์

ตัวอย่างการใช้ยา Hydroxyurea เพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังมัยอีลอยด์

ผู้ใหญ่ รับประทาน 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน 

โรคมะเร็งผิวหนังบริเวณศีรษะและลำคอ

ตัวอย่างการใช้ยา Hydroxyurea เพื่อรักษาโรคมะเร็งผิวหนังบริเวณศีรษะและลำคอ

ผู้ใหญ่ รับประทาน 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน 

โรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงรูปเคียว 

ตัวอย่างการใช้ยา Hydroxyurea เพื่อรักษาโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงรูปเคียว

ผู้ใหญ่ รับประทาน 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน ปรับปริมาณยาเพิ่มขึ้น 5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมทุก ๆ 12 สัปดาห์ และปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 35 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน

เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป รับประทาน 20 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน หากยังมีอาการปวดรุนแรงหรือทุก ๆ 8 สัปดาห์ให้ปรับปริมาณยาเพิ่มขึ้น 5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 35 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน

การใช้ยา Hydroxyurea

เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัยควรปฏิบัติตาม ดังนี้

  • รับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรรับประทานยาปริมาณที่มากหรือหรือน้อยเกินไป และไม่ควรใช้ยานี้เกินกว่าระยะเวลาที่แพทย์กำหนด หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ห้ามเริ่ม หยุด หรือเพิ่มปริมาณการใช้ยาด้วยตนเอง
  • ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
  • ควรกลืนยาทั้งเม็ด ห้ามเคี้ยว บด หรือเปิดแคปซูลออก หากไม่สามารถกลืนยาได้ ให้นำยาไปละลายน้ำและดื่มทันที 
  • รับประทานยาพร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ และควรรับประทานยาพร้อมน้ำเปล่า
  • ใส่ถุงมือเมื่อต้องสัมผัสยาหรือล้างมือให้สะอาดหลังการสัมผัสตัวยาหรือบรรจุภัณฑ์ หากผงจากเม็ดยาหรือแคปซูลหก ห้ามสูดดมเด็ดขาด ให้เช็ดด้วยทิชชู่เปียกและทิ้งลงในถุงพลาสติก ล้างบริเวณที่เปื้อนผงด้วยสบู่และน้ำเปล่าทันที หากผงเข้าตา ต้องใช้น้ำล้างตาและลืมตาในน้ำประมาณ 15 นาทีเพื่อกำจัดผงออก
  • หากลืมใช้ยาให้ผู้ป่วยรับประทานยาทันทีที่นึกได้ หากใกล้เวลาที่ต้องรับประทานครั้งถัดไป ข้ามไปรับประทานตามปกติ ห้ามรับประทานเป็น 2 เท่า
  • แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยกรดโฟลิคหรืออาหารเสริม เพื่อลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา
  • ควรตรวจเช็คระดับเม็ดเลือดในร่างกายอยู่เสมอระหว่างการใช้ยา
  • ควรนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีหากมีการใช้ยาเกินขนาด เพราะอาจทำให้หมดสติ ชัก หรือไม่สามารถหายใจได้
  • ห้ามผู้อื่นใช้ยาหรือสัมผัสยาและบรรจุภัณฑ์โดยเด็ดขาด
  • หากมีการรักษาอาการอื่นเพิ่มเติม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังอยู่ในการใช้ยา Hydroxyurea

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Hydroxyurea

การรับประทานยาไฮดรอกซียูเรียอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย เซื่องซึม เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว เป็นต้น บางรายอาจมีอาการท้องผูกหรือผื่นคันร่วมด้วย แต่เป็นอาการที่พบได้น้อย โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะดีขึ้นและหายไปเอง เนื่องจากร่างกายสามารถปรับตัวเข้ากับยาได้ในระหว่างการรักษา และควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีอาการดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลานานหรือมีอาการแย่ลง

ในกรณีที่ได้รับผลข้างเคียงรุนแรงจากการใช้ยา ผู้ป่วยควรหยุดการใช้ยาและพบแพทย์ทันที โดยจะมีอาการดังต่อไปนี้

  • อาการแพ้ยา เช่น มีผื่นคัน มีอาการบวมหรือคันบริเวณหน้า ลิ้น หรือคอ วิงเวียนอย่างรุนแรง หายใจลำบาก เป็นต้น
  • มีไข้สูง หนาวสั่น 
  • ไอ เสียงแหบ 
  • เล็บมือและเล็บเท้าเปลี่ยนสี
  • เจ็บขณะปัสสาวะหรือถ่ายปัสสาวะออกลำบาก 
  • อาจมีภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น มีรอยฟกช้ำง่าย อุจจาระเป็นสีดำมัน มีเลือดปนอยู่ในปัสสาวะหรืออุจจาระ เป็นต้น
  • มีอาการความผิดปกติของไต ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการปวดบริเวณสีข้างหรือหลังส่วนล่าง มีอาการบวมและตึงที่เท้าหรือขาท่อนล่าง
  • ปวดข้อ

นอกจากนี้ ยาไฮดรอกซียูเรียนอาจเพิ่มความเสี่ยงในการกระตุ้นการพัฒนาของเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยเฉพาะมะเร็งผิวหนังและมะเร็งเม็ดเลือดขาว ดังนั้น ผู้ที่รับประทานยาดังกล่าวจะต้องหมั่นตรวจเช็คสุขภาพร่างกายของตนเองอยู่เสมอ หากมีความผิดปกติอื่น ๆ เพิ่มเติมจากการใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที