Amiodarone (อะมิโอดาโรน)

Amiodarone (อะมิโอดาโรน)

Amiodarone (อะมิโอดาโรน) เป็นยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ออกฤทธิ์กับเนื้อเยื่อหัวใจโดยตรง ยับยั้งการกระตุ้นหัวใจ และชะลอการนำกระแสประสาท ช่วยให้จังหวะการเต้นของหัวใจเป็นปกติ มักใช้เมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต หรือใช้ยาชนิดอื่นแล้วยังไม่ตอบสนอง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้แม้จะหยุดใช้ยาไปแล้วก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนการใช้ยา

Amiodarone

เกี่ยวกับ Amiodarone

กลุ่มยา ยารักษาโรคหัวใจ (Cardiac Drugs)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ รักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่และเด็ก
รูปแบบของยา ยารับประทานชนิดเม็ด และยาฉีด


คำเตือนในการใช้ยา Amiodarone

  • ควรปรึกษาและแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบถึงเงื่อนไขของผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือโรคปอดชนิดอื่น ๆ ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยไทรอยด์ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น ผู้ที่มีระดับเกลือแร่ในเลือดไม่สมดุล (Electrolyte Imbalance) ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจหรือเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ
  • ไม่ควรใช้ยาในบุคคลที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้
  • ผู้ที่มีอาการแพ้ยา Amiodarone หรือแพ้ไอโอดีน
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหยุดเต้นระยะรุนแรง เช่น หัวใจเต้นช้ากว่าปกติ (AV Block) ยกเว้นผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ
  • ผู้ที่เคยมีประวัติหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ ไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ตามปกติ
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หากใช้ยาในขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดปัญหาที่ต่อมไทรอยด์หรือส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้หลังการคลอด และส่งผลต่อทารก เช่น การเจริญเติบโต พัฒนาการด้านการพูด การเคลื่อนไหว หรือสติปัญญา เป็นต้น
  • ผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะยาสามารถขับออกผ่านทางนมแม่ไปสู่ทารกได้
  • หากจำเป็นต้องใช้ยาเป็นเวลานานควรเข้ารับการตรวจร่างกายเป็นประจำ เช่น การเอกซเรย์ หน้าอก ต่อมไทรอยด์ การมองเห็น การทำงานของปอด และการทำงานของตับ
  • หากอยู่ในช่วงการใช้ยา ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบทุกครั้งก่อนทำการทดสอบทางการแพทย์และการผ่าตัดทุกชนิด รวมถึงการรักษาปัญหาสายตาด้วยเลสิก
  • หลีกเลี่ยงการให้ผิวหนังถูกแสงแดดโดยตรง ควรใส่เสื้อผ้ามิดชิด สวมแว่นตา และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เนื่องจากยานี้ทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดดมากขึ้น ผิวหนังที่ถูกแสงอาจไหม้หรือเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน-เทา ซึ่งอาจไม่กลับคืนสู่สภาพปกติแม้จะหยุดรับประทานยาแล้วก็ตาม
  • ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ ทำงาน หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายในขณะใช้ยา เพราะยาอาจทำให้ประสิทธิภาพในการคิดและการกระทำลดลง
  • อาจใช้เวลาหลายเดือนในการกำจัดยาออกจากร่างกาย ควรจำหรือจดบันทึกวันสุดท้ายของการใช้ยา หรือปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาชนิดอื่น ๆ เพราะอาจยังทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
  • ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบเกี่ยวกับประวัติการใช้ยา เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ได้ โดยเฉพาะยาดังต่อไปนี้
  • ยาปฏิชีวนะ เช่น อะซิโธรมัยซิน ไซโปรฟลอกซาซิน คลาริโธรมัยซิน อิริโทรมัยซิน ลีโวฟลอกซาซิน มอกซิฟลอกซาซิน เพนทามิดีน ไรแฟมพิซิน เป็นต้น
  • ยารักษาอาการซึมเศร้า เช่น อะมิทริปไทลีน ไซตาโลแพรม เดซิพรามีน ด็อกเซปิน อิมิพรามีน นอร์ทริปไทลีน ทราโซโดน เป็นต้น
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน เป็นต้น
  • ยารักษาโรคมะเร็ง เช่น คาร์โบพลาติน ซัยโคลฟอสฟาไมด์ เป็นต้น
  • ยาขับปัสสาวะ เช่น คลอโรไทอะไซด์ บูมีทาไนด์ เป็นต้น
  • ยารักษาระดับคอเลสเตอรอล เช่น อะทอร์วาสแตติน โลวาสแตติน ซิมวาสแตติน เป็นต้น
  • ยารักษาความดันโลหิต เช่น อะทีโนลอล คาร์วีดิลอล โคลนิดีน ไดจ็อกซิน ไดโซไพราไมด์ ไดฟีทิไลด์ เป็นต้น
  • ยารักษาไวรัสตับอักเสบซี เช่น เลดิพาสเวียร์ ไซมิพรีเวียร์ โซฟอสบูวียร์ เป็นต้น
  • ยารักษาโรคเอดส์หรือไวรัสเอชไอวี เช่น อินดินาเวียร์ เนวฟินนาเวียร์ ริลพิไวรีน ริโทนาเวียร์ ซาควินาเวียร์ ป็นต้น
  • ยารักษาอาการทางจิต เช่น คลอร์โปรมาซีน ฟลูเฟนาซีน ฮาโลเพอริดอล เป็นต้น

ปริมาณการใช้ยา Amiodarone

ยา Amiodarone จะมีปริมาณการใช้ยาที่แตกต่างกันออกไปตามเงื่อนไขของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีตัวอย่างปริมาณการใช้ยาและรายละเอียดดังนี้

  • ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิด Ventricular Tachycardia และชนิด Pulseless Ventricular Fibrillation
    • ผู้ใหญ่ เริ่มต้นฉีดยาที่ขนาด 300 มิลลิกรัม หากมีอาการกลับเป็นซ้ำให้ฉีดยาทางหลอดเลือดดำที่ขนาด 150 มิลลิกรัม แล้วตามด้วยการหยดยาทางหลอดเลือดดำที่ขนาด 1 มิลลิกรัมต่อ 1 นาที เป็นเวลา 6 ชั่วโมง หลังจากนั้นปรับขนาดเป็น 0.5 มิลลิกรัมต่อ 1 นาที เพิ่มขนาดยาได้สูงสุดไม่เกิน 2.1 กรัมต่อวัน
    • เด็ก ข้อมูลการใช้ยาในเด็กมีจำกัด ควรใช้ปริมาณยาตามคำแนะนำของแพทย์
  • ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะ Ventricular Arrhythmias ชนิดรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
    • ผู้ใหญ่ เริ่มต้นฉีดยาที่ขนาด 1 กรัม ภายใน 24 ชั่วโมง การให้ยาจะแบ่งให้เป็น 3 ระยะ หลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้วจะให้ยาด้วยการหยดยาทางหลอดเลือดดำที่ขนาด 0.5 มิลลิกรัมต่อ 1 นาที
    • เด็ก ข้อมูลการใช้ยาในเด็กมีจำกัด ควรใช้ปริมาณยาตามคำแนะนำของแพทย์
  • ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิด Ventricular Arrhythmias
    • ผู้ใหญ่ รับประทานยาขนาด 800-1,600 มิลลิกรัม แบ่งเป็น 1-2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 1-3 สัปดาห์ เมื่ออาการดีขึ้นให้ปรับขนาดยาเป็น 600-800 มิลลิกรัม แบ่งเป็น 1-2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นให้ยาคงที่ที่ขนาด 400 มิลลิกรัมต่อวัน ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์
    • เด็ก ข้อมูลการใช้ยาในเด็กมีจำกัด ควรใช้ปริมาณยาตามคำแนะนำของแพทย์

การใช้ยา Amiodarone

  • ควรอ่านฉลากยาและทำตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาในปริมาณที่มากหรือน้อยเกินไป และไม่ควรใช้ยานี้เกินกว่าระยะเวลาที่แพทย์สั่ง
  • หากใช้ยาที่ใช้รักษาความผิดปกติของการเต้นหัวใจชนิดอื่น ๆ อยู่ ควรค่อย ๆ หยุดยาชนิดเก่า ก่อนเริ่มใช้ยา Amiodarone
  • ควรรับประทานยาหลังอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  • ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่ควรเก็บในที่ที่มีความร้อน ความชื้น ไม่ควรสัมผัสแสงโดยตรง รวมถึงปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้ยา ควรเก็บให้ไกลจากมือเด็ก และไม่ควรรับประทานยาที่หมดอายุ
  • หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่แพทย์สั่ง เมื่อนึกขึ้นได้ให้รับประทานได้ทันที หากนึกขึ้นได้ใกล้กับมื้ออาหารถัดไป ให้รับประทานยาในเวลาและขนาดตามปกติ ไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเพื่อทดแทนในมื้อที่ขาดหายไป
  • การใช้สมุนไพรหรือรับประทานอาหารบางชนิดในระหว่างการใช้ยาอาจส่งผลต่อระดับของ Amiodarone ในเลือด เช่น สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ตอาจส่งผลให้ระดับยาลดลง หรือน้ำผลไม้เกรพฟรุตอาจส่งผลให้ระดับยาสูงขึ้นได้

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Amiodarone

ยา Amiodarone อาจใช้เวลาหลายเดือนในการกำจัดยาออกจากร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ถึงแม้จะหยุดใช้ยาไปแล้วก็ตาม เช่น วิงเวียนศีรษะ มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น อ่อนเพลีย คลื่นไส้  อาเจียน ท้องผูก อาการชา อาการสั่น เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน หากพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยได้ดังนี้

  • หายใจหอบ ไอ เจ็บหน้าอก ไอเป็นเลือด หรือหายใจลำบากมากขึ้น
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ เร็ว ช้า หรือแรงกว่าปกติ
  • วิงเวียนศีรษะ หรือรู้สึกจะเป็นลม
  • ตาพร่า สูญเสียการมองเห็น ปวดศีรษะ ปวดที่บริเวณด้านหลังของดวงตา บางครั้งอาจมีการอาเจียนร่วมด้วย
  • อาการแพ้ยา เช่น หายใจลำบาก ผื่นคัน มีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ
  • อาการที่บ่งบอกว่าตับมีปัญหา เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง รู้สึกเหนื่อย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีคล้ายดินโคลน ผิวหรือตามีสีเหลือง
  • อาการของภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เช่น น้ำหนักลดลง ผมร่วง รู้สึกหนาวหรือร้อนเกินไป เหงื่อออกมาก ประจำเดือนมาไม่ปกติ คอบวม
  • อาการของภาวะขาดไทรอยด์ เช่น รู้สึกเหนื่อยมาก ผิวแห้ง ปวดหรือตึงตามข้อ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนแรง เสียงแหบ น้ำหนักเพิ่มขึ้น รู้สึกหนาวง่าย