แผลในปาก สาเหตุและวิธีรักษาอย่างเหมาะสม

แผลในปากหรือแผลร้อนในเป็นแผลขนาดเล็กที่เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เหงือก ด้านในของริมฝีปาก แก้ม หรือลิ้น ซึ่งมักทำให้เกิดความเจ็บปวดและความยากลำบากในการรับประทานอาหาร แม้ส่วนใหญ่แผลในปากจะหายไปได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่การรู้สาเหตุของการเกิดแผลในปากก็อาจช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ และหากทราบถึงวิธีรับมือได้อย่างถูกต้องก็อาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน

แผลในปาก สาเหตุและวิธีรักษาอย่างเหมาะสม

แผลในปากเกิดจากอะไร ?

แผลในปากเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยมักพบได้บ่อยในวัยรุ่น และมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แม้ว่าสาเหตุของการเกิดแผลในปากหรือแผลร้อนในจะยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผลในปากได้ เช่น

  • การบาดเจ็บที่ปาก ซึ่งอาจเกิดจากการแปรงฟันแรงเกินไป การกัดปากโดยไม่ได้ตั้งใจ การทำฟัน หรือการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
  • การใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนประกอบของสารโซเดียมลอริลซัลเฟต
  • การขาดวิตามินหรือแร่ธาตุบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 สังกะสี กรดโฟเลต และธาตุเหล็ก เป็นต้น
  • การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น ไข่ ถั่ว ชีส ช็อกโกแลต กาแฟ อาหารที่มีรสชาติเผ็ด รวมถึงผลไม้ที่มีกรดมากอย่างสับปะรด สตรอเบอร์รี่ มะนาว และส้ม เป็นต้น
  • การติดเชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียอย่างเชื้อเอชไพโลไร  
  • โรคหรือการเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โรคเอดส์ โรคเซลิแอคซึ่งเป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อกลูเตน และโรคเบเซ็ทซึ่งเป็นโรคที่เกิดการอักเสบขึ้นทั่วร่างกาย เป็นต้น
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงที่มีประจำเดือน
  • ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การใช้เครื่องมือทางทันตกรรม ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวที่มักเป็นแผลในปากจะมีความเสี่ยงเกิดแผลในปากมากขึ้นด้วย ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมหรือปัจจัยแวดล้อมบางอย่างที่เหมือนกัน เช่น การรับประทานอาหาร และการได้รับสารก่อภูมิแพ้บางชนิด เป็นต้น

ควรทำอย่างไรเมื่อเกิดแผลในปาก ?

โดยทั่วไปแล้ว แผลในปากจะสามารถหายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องรักษา อย่างไรก็ตาม อาจบรรเทาอาการของแผลในปากได้ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

  • ล้างปากโดยใช้น้ำเกลือและเบกกิ้งโซดา หรือใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ เพื่อช่วยลดอาการปวดและบวม
  • ใช้ยามิลค์ออฟแมกนีเซียบริเวณที่เกิดแผลในปาก
  • ใช้เบกกิ้งโซดาทาบริเวณแผลในปาก
  • ประคบน้ำแข็งบริเวณที่เป็นแผลในปาก
  • ใช้ยาชาเฉพาะที่ที่หาซื้อได้ด้วยตนเองภายใต้คำแนะนำของเภสัชกร อย่างยาไซโลเคน
  • ระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารมากเป็นพิเศษ โดยควรรับประทานอาหารอ่อนและอาหารที่มีสารโภชนาการครบถ้วน ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสจัดหรือมีรสเค็ม รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกขนมกรุบกรอบ อาหารและเครื่องดื่มที่มีกรดมาก และไม่เคี้ยวหมากฝรั่ง
  • รับประทานอาหารเสริมที่มีกรดโฟลิค วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และสังกะสี ในปริมาณที่เหมาะสมภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
  • ใช้หลอดเมื่อต้องดื่มน้ำเย็น
  • นำถุงชาที่ชุ่มน้ำแปะตรงบริเวณที่เป็นแผล
  • แปรงฟันโดยใช้แปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม และใช้ยาสีฟันที่ไม่มีฟอง โดยต้องไม่ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโซเดียมลอริลซัลเฟต
  • ใช้สมุนไพรบำบัดและวิธีการรักษาทางธรรมชาติ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ เอ็กไคนาเชีย มดยอบ และรากชะเอม เป็นต้น โดยศึกษาวิธีการ ปริมาณ และความปลอดภัยให้ดีก่อนเสมอ

เมื่อใดที่ควรไปพบแพทย์ ?

ผู้ที่มีแผลในปากซึ่งมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • แผลร้อนในมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
  • เป็นแผลร้อนในนานกว่า 2 สัปดาห์
  • แผลเดิมยังคงอยู่ แต่มีแผลใหม่เกิดขึ้นก่อนแผลเก่าจะหาย หรือพบว่าเป็นแผลในปากบ่อย ๆ
  • แผลลุกลามไปยังบริเวณริมฝีปาก
  • มีแผลที่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
  • มีอาการเจ็บปวดที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีรักษาทางธรรมชาติหรือยาที่หาซื้อได้ด้วยตนเอง
  • รับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มได้ลำบากมาก
  • มีอาการท้องเสียหรือมีไข้สูงในระหว่างที่เกิดแผลในปาก

นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในระหว่างจัดฟันและพบว่าเครื่องมือจัดฟันอาจมีส่วนที่คมหรือส่วนที่อาจทำให้เกิดแผลในปากได้ ควรรีบไปพบทันตแพทย์ทันที เพื่อหาวิธีป้องกันการเกิดแผลในปากต่อไป