เมื่อย

ความหมาย เมื่อย

เมื่อย หรือเมื่อยล้า เป็นอาการเหน็ดเหนื่อย หมดแรง ขาดพลังงาน กล้ามเนื้ออ่อนล้า หรือปวดเมื่อยตามตัว เมื่อเกิดอาการขึ้นแล้วจะทำให้ตัวบุคคลนั้น ๆ สูญเสียสมาธิ ไม่มีแรงกระตุ้น มีพลังงานในการกระทำสิ่งใด ๆ ลดน้อยลง รวมถึงอาจกระทบต่อสภาพอารมณ์และสุขภาพจิตของบุคคลนั้นได้ด้วย

อาการเมื่อยสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้ร่างกายทำงานหรือกิจกรรมอย่างหนักติดต่อกันนาน ๆ นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้ยาบางชนิด ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย หรือการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ โดยในกรณีที่อาการนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ผู้ที่มีอาการมักไม่เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา แต่หากเกิดขึ้นแบบเรื้อรัง อาการนี้อาจเป็นสัญญาณของโรคบางชนิดได้

เมื่อย

สาเหตุของอาการเมื่อย

อาการเมื่อยสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น 

การใช้ชีวิตหรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างอาจนำไปสู่อาการเมื่อยล้าได้ เช่น

  • ทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงอย่างหนัก เช่น ออกกำลังกายอย่างหนัก ยกของหนัก ลากของหนักเป็นเวลานาน ๆ
  • การทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
  • ขาดการออกกำลังกาย หรือการทำกิจกรรมที่เพิ่มความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อร่างกายส่วนต่าง ๆ
  • นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • น้ำหนักเกิน หรืออยู่ในภาวะอ้วน
  • อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ซึ่งมีสภาวะทางอารมณ์ไม่คงที่
  • รับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย
  • การบริโภคคาเฟอีนจากกาแฟหรือชามากจนเกินไป
  • ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือการใช้ยาเสพติด
  • การเดินทางข้ามเขตเวลาโลก (Jet lag)

การใช้ยาและการรักษาทางการแพทย์

ในบางครั้ง อาการเมื่อยล้าก็อาจเป็นผลมาจากการใช้ยารักษาโรค หรือการรักษาทางการแพทย์บางอย่างได้ เช่น

  • การใช้ยาที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นอาการเมื่อยล้าหมดแรง เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้ปวด ยาต้านฮิสตามีน ยารักษาความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคหัวใจ ยาสเตียรอยด์ ยาคลายกังวล ยาต้านเศร้า ยานอนหลับ
  • การบำบัดรักษาโรค เช่น เคมีบำบัด รังสีบำบัด

การเจ็บป่วยด้วยโรคและปัญหาสุขภาพทางร่างกาย

ตัวอย่างโรคหรือภาวะผิดปกติทางกายที่อาจส่งผลให้เกิดความรู้สึกเมื่อยล้าได้ เช่น

  • ป่วยด้วยโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่
  • การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น การขาดธาตุเหล็ก
  • โรคโลหิตจาง 
  • โรคเบาหวาน
  • โรคปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการเจ็บปวดบริเวณใดบริเวณหนึ่งอย่างเรื้อรัง
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น นอนไม่หลับ ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคลมหลับ
  • ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าหรือน้อยกว่าปกติ
  • ภาวะข้ออักเสบ หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • โรคแอดดิสัน (Addison Disease) ที่ต่อมหมวกไตทำงานได้น้อยกว่าปกติ
  • ความผิดปกติเกี่ยวกับการกิน เช่น โรคคลั่งผอมหรือโรคกลัวอ้วน (Anorexia Nervosa) ทำให้ผู้ป่วยอดอาหาร
  • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น โรคพุ่มพวง (Lupus)
  • เจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตับหรือไต เช่น ตับวายเฉียบพลัน โรคไตเรื้อรัง
  • ป่วยด้วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคถุงลมโป่งพอง ซึ่งมักเกิดจากการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน
  • ภาวะติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อจากปรสิต โรคไวรัสตับอักเสบ วัณโรค การติดเชื้อเอชไอวี ไข้ไทฟอยด์ มาลาเรีย
  • ศีรษะกระแทก สมองถูกกระทบกระเทือนหรือได้รับบาดเจ็บ
  • โรคทางเส้นประสาท เช่น เส้นประสาทส่วยปลายถูกกด โรคปลอกประสาทอักเสบ
  • โรคมะเร็งต่าง ๆ
  • โรคหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะเยื่อบุหัวใจอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย
  • กลุ่มอาการล้าเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome) ซึ่งเป็นอาการเมื่อยล้าอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 6 เดือนขึ้นไป

การเจ็บป่วยด้วยปัญหาสุขภาพทางจิตใจ

นอกจากปัญหาสุขภาพทางกายแล้ว ปัญหาสุขภาพจิตก็อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการเมื่อยล้าได้กัน เช่น

  • เกิดความเบื่อหน่าย
  • มีความวิตกกังวล ความเครียด
  • ภาวะซึมเศร้า หรือเผชิญกับความเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก
  • โรคทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาล ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ ไม่มีแรง เฉพาะในช่วงฤดูกาลนั้นของทุกปีมาถึง และจะมีอาการดีขึ้นเมื่อผ่านพ้นไป ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีอาการป่วยในช่วงฤดูที่แตกต่างกันไป โดยผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการในช่วงฤดูหนาวเป็นส่วนใหญ่

อาการเมื่อย

ผู้ที่มีอาการเมื่อยหรือเมื่อยล้าจะพบว่าร่างกายไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง อ่อนล้า อ่อนเพลีย และมักพบอาการในลักษณะดังต่อไปนี้ร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ ไม่มีสมาธิ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์

สัญญาณสำคัญของอาการเมื่อยที่ควรไปพบแพทย์

เมื่อผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้นร่วมกับอาการเมื่อย ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา 

  • มีอาการเมื่อยล้าที่หาสาเหตุไม่ได้ ร่วมกับมีไข้ น้ำหนักลด
  • ปัสสาวะน้อยมาก หรือไม่ปัสสาวะเลย
  • ท้องผูก น้ำหนักขึ้น ผิวแห้ง หนาวง่าย
  • ตัวบวมขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
  • นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน
  • เวียนศีรษะ สับสนมึนงง
  • สายตาพร่ามัว มองเห็นเป็นภาพเบลอ
  • เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
  • หายใจถี่ หายใจไม่อิ่ม
  • หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หรือหัวใจเต้นแรง
  • ปวดศีรษะตลอดเวลา
  • ปวดท้อง ปวดท้องน้อย หรือปวดหลังอย่างรุนแรง
  • รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หรือรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย
  • มีภาวะเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดไหลออกจากทวาร
  • รู้สึกเศร้าโศกเสียใจ
  • มีความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย หรือการทำร้ายตัวเอง
  • มีความคิดหรือความกังวลว่าจะทำร้ายผู้อื่น

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีอาการเมื่อยล้าอย่างเรื้อรังยาวนานกว่า 2 สัปดาห์ โดยที่อาการไม่ดีขึ้นแม้จะผ่านการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และผ่อนคลายความตึงเครียดไปแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาเช่นกัน

การวินิจฉัยอาการเมื่อย

ในเบื้องต้น แพทย์จะสอบถามอาการและความรู้สึกที่เกิดขึ้น ประวัติทางการแพทย์และการรักษา ตลอดจนการใช้ชีวิตและกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการเมื่อย และจะทำการตรวจร่างกาย โดยจะเน้นตรวจบริเวณที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจ น้ำเหลือง ต่อมไทรอยด์ บริเวณช่องท้อง และระบบประสาทต่าง ๆ ที่อาจเกิดการเจ็บป่วยซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเมื่อยได้

จากนั้น แพทย์อาจส่งตรวจเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหรือการเจ็บป่วยที่เป็นสาเหตุของอาการเมื่อย เช่น

ตรวจเลือด

แพทย์จะเก็บตัวอย่างเลือดไปตรววจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาภาวะอักเสบ ภาวะติดเชื้อ หรือตรวจการทำงานของอวัยวะภายในระบบต่าง ๆ เช่น ตรวจการทำงานของไต ตับ ต่อมไทรอยด์ หรือตรวจหาภาวะโลหิตจาง โรคเบาหวาน

ตรวจปัสสาวะ

เช่น ในการตรวจการทำงานของไต อาจใช้วิธีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะในขณะนั้น หรือให้ผู้ป่วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจหาโปรตีนที่อยู่ในปัสสาวะซึ่งอาจแสดงถึงอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้อง

การรักษาอาการเมื่อย

อาการเมื่อยสามารถรักษาได้จากสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ หากเป็นอาการเมื่อยที่ไม่รุนแรง ซึ่งเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิต หรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาบรรเทาอาการให้ดีขึ้น และยังเป็นแนวทางที่อาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการเมื่อยขึ้นได้ด้วยตนเอง เช่น

  • นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • ดื่มน้ำเปล่าในปริมาณมาก ๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถูกหลักโภชนาการและสุขอนามัยในปริมาณที่เหมาะสม
  • ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่สูบบุหรี่ และไม่ใช้ยาเสพติด
  • ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ ไม่ออกกำลังกายอย่างหนักจนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงอย่างหนัก ไม่หักโหมทำงานหนัก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ มากจนเกินไป
  • พักผ่อนร่างกายด้วยกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การเล่นโยคะ หรือการนั่งสมาธิ
  • หลีกเลี่ยงการเผชิญกับความเครียด หรือหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเครียด
  • เรียนรู้วิธีจัดการกับความเครียด แก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่อย่างเหมาะสม
  • ผ่อนคลายจากความเครียดด้วยการพักผ่อน การไปท่องเที่ยว หรือการทำกิจกรรมที่สร้างความบันเทิง
  • หากกำลังเจ็บป่วยและอยู่ในระหว่างการพักฟื้นรักษาตัว ต้องรับประทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

หากผู้ป่วยดูแลตนเองและปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวแล้วอาการไม่ทุเลาลง หรือยังคงมีอาการเมื่อยปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่อง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อทำการตรวจรักษา

ส่วนอาการเมื่อยที่เกิดจากการเจ็บป่วยและปัญหาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาตามโรคหรือภาวะผิดปกติที่เป็นสาเหตุ ซึ่งผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ภาวะแทรกซ้อนของอาการเมื่อย

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากอาการเมื่อยมักเกี่ยวข้องกับการทำกิจกรรมหรือการใช้ชีวิตในประจำวัน เช่น อาจเกิดอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่าง ๆ 

การป้องกันอาการเมื่อย

สำหรับการป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเมื่อย ปวดเมื่อย หรืออ่อนล้า การทำตามคำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยได้ เช่น

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอหรือประมาณ 6–8 แก้ว/วัน
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ