นมแม่ อาหารมื้อแรกที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ไม่พบในน้ำนมประเภทอื่น เปรียบเสมือนภูมิต้านทานโรคและยาชั้นดีให้กับเด็กแรกเกิด การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังเป็นการเสริมสร้างสายใยความอบอุ่นระหว่างแม่และลูก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเสริมสร้างพัฒนาการด้านอื่น
สิ่งดี ๆ ที่นมแม่มีให้
นมแม่มีส่วนประกอบของสารอาหารหลายร้อยชนิด ทั้งโปรตีน ไขมัน วิตามิน คาร์โบไฮเดรต เอนไซม์ ฮอร์โมน ไปจนถึงเม็ดเลือดขาว (Leukocytes) ที่เป็นสารภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรคเช่นเดียวกับร่างกายของแม่ ซึ่งสารอาหารบางส่วนไม่สามารถเติมคุณประโยชน์ลงไปในนมประเภทอื่นได้ในภายหลังและพบเฉพาะในนมแม่เท่านั้น จึงทำให้หลายส่วนหันมารณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากขึ้น
ตัวอย่างสารอาหารสำคัญที่พบในน้ำนมแม่ ประกอบด้วย
โปรตีน ในน้ำนมแม่จะประกอบด้วยโปรตีนที่เรียกว่า เวย์ (Whey) และเคซีน (Casein) โดยจะพบเวย์ในปริมาณที่มากกว่าเคซีน ซึ่งโปรตีนที่พบในน้ำนมแม่เป็นชนิดที่ย่อยง่าย เต็มไปด้วยสารภูมิคุ้มกัน และไม่พบในนมผงทั่วไป เช่น
- แลคโตเฟอร์ริน (Lactoferrin) เป็นสารภูมิต้านทานโรคที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารที่ใช้ธาตุเหล็กในการเจริญเติบโต
- สารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี ชนิด IgA (Secretory IgA) ช่วยป้องกันการติดเชื้อของไวรัสและแบคทีเรีย โดยพบสารภูมิต้านทาน ชนิด IgG และ IgM อีกด้วย
- ไลโซไซม์ (Lysozyme) เป็นเอนไซม์ช่วยต่อต้านการติดเชื้อ อย่างเชื้ออีโคไล (E. Coli) และซาลโมเนลลา (Salmonella) ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย และยังช่วยเพิ่มจำนวนเชื้อแบคทีเรียชนิดดีที่อยู่ในร่างกาย
- ไบฟิดัส แฟคเตอร์ (Bifidus Factor) เป็นสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจะช่วยปรับสภาวะให้มีความเป็นกรด เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย
ไขมัน เป็นอีกส่วนที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตหลายด้านของทารก ตั้งแต่การดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เสริมสร้างสมอง จอตา และระบบประสาท อีกทั้งยังเป็นแหล่งพลังงานหลักของทารกอีกด้วย
วิตามิน ในน้ำนมแม่มีวิตามินอยู่หลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค วิตามินซี กรดแพนโทเทนิก (Pantothenic Acid) หรือวิตามินบี 5 ซึ่งปริมาณและชนิดของวิตามินที่ทารกได้รับจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณแม่รับประทานเข้าไป
คาร์โบไฮเดรต น้ำตาลแลคโตส (Lactose) เป็นสารคาร์โบไฮเดรตหลักในน้ำนมแม่ โดยมีอยู่ประมาณ 40% ของพลังงานทั้งหมด ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดจำนวนแบคทีเรียชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกายและเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในทางเดินอาหาร ทำให้ทารกไม่ป่วยง่าย รวมไปถึงช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม
ทารกที่ได้รับนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดมักไม่ค่อยมีอาการป่วยจากโรคต่าง ๆ ในช่วงปีแรกหลังการคลอด เช่น ท้องเสีย การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ หรือการติดเชื้อที่บริเวณหู อีกทั้งยังอาจลดโอกาสการเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว เช่น อาการแพ้ น้ำหนักเกินเกณฑ์ โรคเบาหวาน โรคหอบหืด นอกจากนี้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังช่วยกระตุ้นให้มดลูกของคุณแม่เกิดการปรับตัวให้เข้าที่ได้เร็วมากขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ และเป็นเสมือนสายใยความสัมพันธ์ที่แม่ส่งผ่านไปยังลูกน้อยด้วยการสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม อาหารและเครื่องดื่มบางประเภทที่คุณแม่รับประทานเข้าไปอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้นมในเด็ก ซึ่งจะพบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์จากนมวัว ข้าวสาลี ถั่ว เนื้อปลาบางชนิด ไข่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง โดยเด็กที่เกิดอาการแพ้จะสามารถสังเกตได้จาก
- แหวะนมหรืออาเจียนบ่อย ๆ
- ปวดท้อง ท้องป่องจากแก๊สในท้องมาก หรือยกขา 2 ข้างขึ้นแล้วเด็กร้องไห้งอแง
- ถ่ายเป็นมูกปนเลือด
- อุจจาระแข็ง
- มีผื่นขึ้นและเกิดอาการบวม
ควรให้นมแม่นานเท่าไหร่
สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics) และหน่วยงานหลายแห่งได้ให้คำแนะนำว่า ทารกควรได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกหลังการคลอด และให้ไปได้เรื่อย ๆ จนครบปี ส่วนองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) แนะนำให้ทารกได้รับนมแม่ไปจนถึง 2 ปี
อย่างไรก็ตาม หลังจาก 6 เดือนแรกผ่านไป คุณแม่ควรเริ่มให้เด็กรับประทานอาหารหลักเพิ่มทีละน้อยควบคู่กับนมแม่ เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มและพัฒนาระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้เร็วขึ้น ซึ่งระยะเวลาอาจไม่ได้เป็นตัวกำหนดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทั้งหมด เพราะต้องดูจากสถานการณ์ของแต่ละคนร่วมด้วย
การเก็บน้ำนมสำหรับคุณแม่มือใหม่
คุณแม่หลายท่านอาจไม่สะดวกในการให้นมลูกได้ตลอดเวลาจากหลายปัจจัย จึงจำเป็นต้องมีการเก็บน้ำนมไว้ล่วงหน้า เช่น บางส่วนต้องกลับไปทำงาน เต้านมมีอาการคัดตึงและเจ็บ ทารกอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ทารกไม่สามารถดูดนมได้เอง หรือคุณแม่อาจต้องการกระตุ้นให้เต้านมผลิตน้ำนมมากขึ้น
การเก็บน้ำนมสามารถทำได้ด้วยการใช้มือบีบบริเวณเต้านมหรือใช้เครื่องปั๊มนม ขึ้นอยู่กับความสะดวกและสถานการณ์ของคุณแม่แต่ละคน โดยความถี่และปริมาณน้ำนมที่เก็บอาจจะต่างกันออกไป ไม่มีเกณฑ์กำหนดตายตัว เพราะบางคนอาจมีน้ำนมน้อย น้ำนมไม่ไหล มีเวลาในการเก็บน้ำนมน้อย อย่างไรก็ตาม การเก็บน้ำนมควรเลือกช่วงเวลาที่คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย บางรายต้องใช้เวลาสักพักจึงเริ่มมีน้ำนมไหลออกมา อาจใช้วิธีมองดูลูกน้อยหรือรูปถ่ายของลูกก็อาจช่วยกระตุ้นให้เก็บน้ำนมได้ง่ายขึ้น
- การบีบน้ำนมด้วยมือ เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และไม่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมมากมาย โดยก่อนการเก็บน้ำนมควรล้างมือให้สะอาด นวดคลึงบริเวณเต้านมอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งวางบริเวณลานหัวนมในลักษณะตัว C ส่วนนิ้วที่เหลือช่วยประคองเต้า ค่อย ๆ บีบเป็นจังหวะอย่างเบามือ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บ หากน้ำนมยังไม่ออกให้เปลี่ยนตำแหน่งนิ้วชี้และนิ้วโป้งเล็กน้อย แล้วเริ่มบีบเป็นจังหวะอีกครั้ง เมื่อน้ำนมเริ่มไหลช้าลงและหยุดจึงค่อยเปลี่ยนทำกับเต้านมอีกข้าง
- การใช้เครื่องปั๊มนม เครื่องปั๊มนมในปัจจุบันมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ เครื่องปั๊มนมไฟฟ้าหรือเครื่องปั๊มนมด้วยมือ โดยแบบไฟฟ้าอาจให้ความสะดวกรวดเร็วกว่าแบบใช้มือ แต่ราคามักจะสูงกว่า ก่อนเริ่มใช้งานเครื่องควรอ่านวิธีใช้อย่างละเอียด ตรวจดูลักษณะภายนอกว่าไม่มีการชำรุด หรือตัวกรวยมีขนาดพอดีกับเต้านมหรือไม่ เมื่อเริ่มใช้งานควรค่อย ๆ ปรับแรงดูดของเครื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เต้านมเจ็บ
น้ำนมแม่เก็บแบบไหนไม่เสียคุณค่า
สามารถเก็บน้ำนมแม่ได้ในอุณหภูมิห้อง ช่องธรรมดา หรือช่องแช่แข็งในตู้เย็น โดยภาชนะที่ใช้เก็บควรผ่านการฆ่าเชื้อมาเรียบร้อย อาจเป็นขวด ถ้วย หรือถุงเก็บนมแม่ที่หาซื้อได้ทั่วไป และควรเขียนวันที่กำกับอย่างชัดเจนไว้ที่ภาชนะทุกครั้งหลังการเก็บ ซึ่งระยะเวลาในการเก็บอาจแบ่งได้เป็น
- เก็บในอุณหภูมิห้องที่ไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง
- เก็บในกล่องเก็บความเย็นและใส่ไอซ์ แพค (Ice Pack) สามารถเก็บได้นานประมาณ 24 ชั่วโมง แต่ควรให้น้ำนมสัมผัสโดนกับไอซ์ แพคตลอดเวลา และไม่ควรเปิดกล่องบ่อย ๆ เพื่อรักษาความเย็นให้คงที่
- เก็บในช่องแช่เย็นธรรมดาที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 4 องศาเซลเซียส ควรเก็บไว้ไม่เกิน 5 วัน
- การเก็บในช่องแช่แข็งจะเก็บได้นานกว่าวิธีอื่น ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับประเภทของตู้เย็นและอุณหภูมิ โดยช่องแช่แข็งในตู้เย็นแบบประตูเดียวสามารถเก็บได้นานประมาณ 2 สัปดาห์ ช่องแช่แข็งในตู้เย็นแบบ 2 ประตูที่มีอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้ 3-6 เดือน (ไม่ควรเก็บที่ฝาตู้เย็น) หรือตู้แช่แข็งสามารถเก็บได้นานประมาณ 6-12 เดือน ในอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส
ควรย้ายน้ำนมลงมาพักอยู่ในช่องธรรมดาก่อนการใช้งานประมาณ 24 ชั่วโมง จากนั้นค่อยนำไปแช่ในน้ำอุ่นและใช้งานภายใน 24 ชั่วโมง หากต้องการใช้อย่างเร่งด่วนให้แกว่งในน้ำอุ่นจนน้ำนมละลายและอยู่ในอุณหภูมิห้อง น้ำนมแม่ที่นำมาให้ทารกดื่มแล้วไม่ควรนำกลับไปแช่เย็นใหม่อีกครั้งและควรใช้ให้หมดภายในประมาณ 1 ชั่วโมง
เคล็ดลับปรับตัวสำหรับคุณแม่
คุณแม่หลายท่านคงต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจสร้างความวุ่นวายในชีวิตประจำวันเดิมที่เคยเป็นในหลายเรื่อง ทำให้เกิดความกังวลว่าลูกน้อยจะได้รับนมแม่ไม่เพียงพอและต่อเนื่อง การวางแผนล่วงหน้าจะช่วยคลายความกังวลได้ คุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงานควรปรึกษากับหัวหน้างานและทางฝ่ายบุคคลก่อนลาคลอด เพื่อช่วยให้จัดการวางแผนเรื่องให้นมลูกน้อยได้อย่างราบรื่นหลังการคลอดเสร็จสิ้น หากเป็นออฟฟิศที่มีบริการรับฝากเลี้ยงเด็กอาจช่วยให้คุณแม่กลับมาให้นมแก่ลูกน้อยในระหว่างวัน แต่ในกรณีที่ไม่สามารถอยู่กับลูกน้อย ควรเตรียมการเก็บน้ำนมสำรองไว้เมื่อคุณแม่ต้องกลับไปทำงานหรือทำกิจกรรมอื่น
อีกเรื่องที่สำคัญคงหนีไม่พ้นการให้นมแก่ลูกน้อยในที่สาธารณะ อาจทำให้มือใหม่เกิดอาการเขินได้ไม่น้อย คุณแม่ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดเข้าสู่เต้านมได้โดยสะดวก โดยใช้ผ้าคลุมให้นมคลุมทับอีกครั้ง เพื่อให้ลูกน้อยดูดนมได้อย่างสะดวก และควรหันตัวเข้าในด้านที่มีคนน้อยหรือหันเข้าหากำแพงในขณะให้นมลูก นอกจากนี้ในบางสถานที่อย่างศูนย์การค้าขนาดใหญ่มักจะมีบริการห้องให้นมลูกรับรอง