กินเผ็ด แล้วเกิดมีแก๊สในกระเพาะ แน่นท้อง ไม่แสบท้อง กินยา Avarin แล้วดีขื้น แต่ยังไม่หาย ผิดปกติไหม

สวัสดีค่ะ คุณ ohhohey072,

                 อาการมีแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะ แน่นท้อง ท้องป่อง ก็คืออาการท้องอืด ซึ่งสาเหตุ มีได้มากมาย ได้แก่

                 1. การกลืนอากาศเข้าไปปริมาณมาก จากการอ้าปาก พูดคุย หัวเราะ หรือหายใจทางปาก การกินหรือดื่มเร็วเกินไป การใช้หลอดดูดเครื่องดื่ม การเคี้ยวหมากฝรั่ง เป็นต้น

              2. การทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สหรือเครื่องดื่มที่มีแก๊ส เช่น น้ำอัดลม ถั่ว เมล็ดธัญพืชต่างๆ 

              3. การทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดบางชนิด ยาเสริมธาตุเหล็ก แคลเซียม เป็นต้น

              4. มีโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารเป็นแผล ซึ่งมักมีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ หรือบริเวณด้านซ้ายบนร่วมด้วย

              5. มีนิ่วในถุงน้ำดี มักทำให้มีอาการปวดท้องบริเวณ้านขวาบนด้วย 

              6. ขาดน้ำย่อยอาหารบางชนิด เช่น น้ำย่อยย่อยโปรตีนนม แล้วได้ดื่มนม หรือทานอาหารที่มีส่วนผสมของนม เนย ชีส

              7. โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ลำไส้แปรปรวน

              8. มีท้องผูก

              10. เครียด วิตกกังวล

              11. มีน้ำในช่องท้อง จากการติดเชื้อในช่องท้อง หรือมีเนื้องอกหรือมะเร็งในช่องท้อง  

              ส่วนการทานอาหารเผ็ด หากไปกระตุ้นให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบ และเกิดแก๊ซในกระเพาะตามมาได้ค่ะ 

               ในนเบื้องต้น ควรเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด งดทานเผ็ดไปก่อน และไม่ทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ของผัดต่างๆ เคี้ยวช้าๆ ให้ละเอียด หลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูด ไม่ทานและกลืนเร็ว ไม่ทานอาหารครั้งละปริมาณมาก ไม่เคี้ยวหมากฝรั่ง ไม่ดื่มน้ำอัดลม อัดแก๊สต่างๆ หลีกเลี่ยงอาหารประเภทถั่วและธัญพืชต่างๆ รวมถึงนม (หากไม่ได้ดื่มเป็นประจำมาก่อน) เป็นต้น สำหรับอาหารที่จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด เช่น น้ำขิง ขมิ้นชัน พริกไทย เป็นต้น ส่วนยา Ararin ที่ทาน เปHนตัวยา simethicone และ alverine ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยลดแก๊สในทางเดินอาหาร ลดอาการปวดท้อง ดังนั้น หากทานแล้วดีขึ้น ก็สามารถทานต่อได้ โดยอาจลองทานต่อเนื่องซัก 1 สัปดาห์ ร่วมกับการปฏิบัติตัวดังกล่าวก่อน หากอาการดีขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์ อาจรอดูอาการต่อไปอีก 1 สัปดาห์ก็ได้ แต่หากอาการเป็นนานเกิน 2 สัปดาห์ ยังไม่หายไป หรืออาการไม่ดีขึ้นเลย ก็ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจเพิ่มเติมต่อไปค่ะ