มีเพศสัมพันธ์ ใส่ถุงยางและไม่ใส่ถุงยาง แต่ไม่ได้หลั่งใน ควรกินยาคุมฉุกเฉินไหม แล้วจะเริ่มกินยาคุมได้เมื่อไหร่

 สวัสดีค่ะ คุณ ttttr,

                      การมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ 4, 5 และ 7 ก.ย. หากใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง ถุงยางจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 98% 

                      ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ 8 ก.ย. หากไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย แต่ไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิเกิดขึ้น โอกาสที่จะตั้งครรภ์ก็ไม่มี แต่หากก่อนหน้าที่จะสอดใส่อวัยวะเพศเข้าช่องคลอด ได้มีการหลั่งน้ำอสุจิออกไปก่อน เช่น จากการช่วยตัวเอง โอกาสที่จะตั้งครรภ์ก็อาจมีได้

                      ตอบคำถามตามข้อดังนี้ค่ะ

                       1. หากไม่ได้มีการหลั่งน้ำอสุจิเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกช่องคลอด และไม่ได้มีการหลั่งน้ำอสุจิออกไปก่อนที่จะสอดใส่เข้าสู่ช่องคลอด โอกาสที่จะตั้งครรภ์ก็ไม่มี ดังนั้น อาจไม่จำเป็นต้องทานยาคุมฉุกเฉิน

                       2. ผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังทาน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ปวดหัว ปวดท้อง เจ็บเต้านม เป็นต้น โดยอาจเกิดเป็นเพียงบางอาการ หรือไม่เกิดเลยก็ได้ และหลังจากทานยาไปประมาณ 1 สัปดาห์ อาจมีเลือดออกจากช่องคลอดได้ ซึ่งถือเป็นเลือดที่เป็นผลจากยา ไม่ใช่ประจำเดือนจริงๆ

                        3. การตรวจเช็คถุงยางอนามัยว่ารั่วหรือไม่ ก็จะทำให้ทราบว่าจะมีโอกาสตั้งครรภ์มากขึ้นหรือไม่ค่ะ หากพบว่าถุงยางรั่ว ก็จะช่วยให้เรารีบทานยาคุมฉุกเฉินเพื่อป้องกันไว้ก่อนค่ะ

                         4. การเริ่มทานยาคุมกำเนิดชนิด 21 หรือ 28 เม็ดเป็นแผงแรกนั้น ควรเริ่มทานภายใน 1-5 วันนับตั้งแต่มีประจำเดือนมา ยาคุมจึงจะออกฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันทีค่ะ แต่หากเพิ่งเริ่มทานเป็นแผงแรก ควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมไปด้วยก่อน เพราะยายังอาจออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพค่ะ