ต้อลม

ความหมาย ต้อลม

ต้อลม (Pinguecula) เป็นโรคทางดวงตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเนื้อเยื่อปกติกลายเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่เยื่อบุตาขาว ทำให้มีการระคายเคืองของดวงตาร่วมด้วย

ต้อลมสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า มีลักษณะเป็นตุ่มนูนหรือแผ่นบาง ๆ สีหลือง โดยส่วนมากมีรูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยม มักพบอยู่บริเวณตาขาวที่ใกล้กระจกตาตรงส่วนหัวตามากกว่าหางตา และยังสามารถเจริญเติบโตจนเข้าไปสู่กระจกตาได้ ในกรณีที่เกิดการลุกลามเข้าไปในกระจกตาจะถูกเรียกว่า โรคต้อเนื้อ

ต้อลม

อาการของต้อลม

โรคต้อลมส่วนมากมักทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง แต่ละคนอาจมีอาการที่แตกต่างกันออกไป บางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในบางรายก็อาจเกิดอาการรุนแรง ซึ่งอาการที่สังเกตได้มีดังนี้

  • มีแผ่นหรือตุ่มนูนขนาดเล็กสีเหลืองเกิดขึ้นภายในตาขาว
  • อาการตาแห้ง เคืองตา แสบตา
  • มีความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งติดอยู่ในดวงตา เช่น เม็ดทราย หรือเศษผง
  • อาการคันตา ทำให้ตาแดงและอักเสบในบางราย
  • ตาบวมและมีอาการเจ็บตา

โดยทั่วไปโรคต้อมักไม่ก่ออาการ ยกเว้นถ้ามีการอักเสบเกิดขึ้นหรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์เมื่อพบอาการต่อไปนี้

  • ขนาดของก้อนเนื้อที่เป็นต้อลมมีขนาด รูปร่าง หรือสีที่เปลี่ยนแปลงไป
  • มีของเหลวสีเหลืองไหลออกจากดวงตา อาจจะข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง
  • เปลือกหรือผิวบริเวณรอบดวงตาบวมแดง
  • อาการแย่ลงเรื่อย ๆ แม้ได้รับการรักษา
  • มีปัญหาในการมองเห็นเพิ่มมากขึ้น

สาเหตุของโรคต้อลม

ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดต้อลมที่แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยสำคัญในการพัฒนาโรคมาจากการโดนแสงแดดหรือรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์เป็นเวลานาน บ่อย ๆ หรือเกิดการระคายเคืองดวงตา เช่น อาการตาแห้ง ดวงตาสัมผัสกับสภาพแวดล้อมภายนอกอย่าง ลม ฝุ่นละออง ทำให้เนื้อเยื่อปกติของดวงตามีการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นแผ่นหรือตุ่มนูน ๆ บริเวณตาขาว เนื่องจากมีการสะสมของโปรตีน ไขมัน หรือแคลเซียม

โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่จะเกิดขึ้นบ่อยในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป อาชีพบางอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง ช่างเชื่อมโลหะ  

การวินิจฉัยโรคต้อลม

จักษุแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคต้อลมด้วยการตรวจตาเพียงอย่างเดียว หรืออาจใช้การตรวจตาร่วมกับเครื่องมือตรวจโรคตาเบื้องต้น ที่เรียกว่า Slit-Lamp ซึ่งช่วยให้ตรวจดูกระจกตา ม่านตา เลนส์แก้วตา และช่องว่างระหว่างม่านตาและเลนส์แก้วตาได้อย่างละเอียด จึงสามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในดวงตาได้ง่าย ควบคู่กับการสอบถามอาการเบื้องต้นของผู้ป่วย

การรักษาโรคต้อลม

โดยทั่วไปโรคต้อลมไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรง เจ็บตา ดวงตาเกิดอาการบวมแดง หรือระคายเคืองขึ้น แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้น้ำตาเทียม ขี้ผึ้ง หรือยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการตาแดงจากโรค นอกจากนี้แพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัดในกรณีดังต่อไปนี้

  • ก้อนเนื้อหรือตุ่มนูนในดวงตามีการขยายใหญ่มากขึ้นจนเข้าใกล้กระจกตา ทำให้ส่งผลต่อการมองเห็นหรือเกิดความผิดปกติทางสายตาอย่างถาวร
  • สร้างความรู้สึกรำคาญในเวลาปกติหรือเวลาใส่คอนแทคเลนส์
  • ดวงตาเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงและยาหยอดตาที่แพทย์สั่งจ่ายไม่สามารถบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้
  • ผู้ป่วยบางรายที่กังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ที่ดูไม่สวยงามอาจเข้ารับการผ่าตัดได้เช่นกัน

ภาวะแทรกซ้อนของโรคต้อลม

เนื้อเยื่อปกติบริเวณดวงตาอาจขยายใหญ่เข้าไปในกระจกตาหรือบริเวณตาดำ ทำให้บดบังการมองเห็นจนกลายเป็นโรคต้อเนื้อ ซึ่งโรคต้อเนื้อและต้อลมเป็นภาวะความผิดปกติของโรคทางดวงตาที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ตำแหน่งการเกิดต่างกัน

การป้องกันโรคต้อลม

แม้ว่าสาเหตุการเกิดของโรคที่ไม่ทราบแน่ชัด แต่โรคต้อลมสามารถป้องกันได้ด้วยการเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคขึ้นได้ตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • สวมแว่นตาที่มีเลนส์ในการกรองรังสีอัลตราไวโอเลต เอ (รังสียูวีเอ: UVA) หรือรังสีอัลตราไวโอเลต บี (รังสียูวีบี: UVB) จากดวงอาทิตย์ เพื่อปกป้องดวงตาเมื่อต้องทำงานหรืออยู่ในสถานที่ที่มีแดดจัด
  • หากอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือทำงานในสถานที่แห้ง มีลม และมีฝุ่นละอองเยอะ ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาจากลม ฝุ่นละออง เศษผง สิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กที่อาจถูกพัดพามากับลมได้เช่นกัน
  • ดูแลดวงตาให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ เมื่อรู้สึกว่าเกิดอาการตาแห้ง อาจลองหยอดน้ำตาเทียม ซึ่งประกอบด้วยสารช่วยหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื่นแก่ดวงตา