กระเจี๊ยบเขียว สมุนไพรต้านโรค บำรุงสุขภาพ

กระเจี๊ยบเขียว เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย หลายคนจึงเชื่อว่าการบริโภคกระเจี๊ยบเขียวอาจช่วยบำรุงสุขภาพและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ เช่น ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ภายในร่างกาย บรรเทาอาการเหนื่อยล้า และอาจรักษาโรคเบาหวานได้

กระเจีียบเขียว

หลายคนนิยมนำกระเจี๊ยบเขียวมารับประทานคู่กับน้ำพริกทั้งแบบสดหรือลวกต้มให้สุกก่อน และนำไปปรุงอาหารเมนูอื่น ๆ โดยกระเจี๊ยบเขียวปริมาณ 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 33 แคลอรี่ ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารอย่างโปรตีน ไฟเบอร์ โพแทสเซียม วิตามินซี วิตามินเค สารประกอบกลุ่มฟีนอล และสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ และอาจมีสรรพคุณทางการรักษาหรือป้องกันโรคบางชนิดได้

ความเชื่อและข้อพิสูจน์ถึงคุณประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว

ต้านอนุมูลอิสระ กระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ที่มีงานวิจัยพบว่าอาจเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง หลายคนจึงเชื่อว่าการบริโภคกระเจี๊ยบเขียวอาจช่วยต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายไม่ให้เกิดการทำลายเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ จนเกิดโรคหรืออาการป่วยตามมาได้ ซึ่งมีงานวิจัยหนึ่งศึกษาถึงประสิทธิผลของกระเจี๊ยบเขียวในห้องทดลองแล้วพบว่า กระเจี๊ยบเขียวอาจมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะสารฟลาโวนอยด์ และสารประกอบกลุ่มฟีนอล

ส่วนอีกงานวิจัยที่ศึกษาถึงการต้านอนุมูลอิสระของกระเจี๊ยบเขียวในห้องทดลองด้วยการวิเคราะห์ความสามารถในการทำลายและต้านสารอนุมูลอิสระ พบว่าสารสกัดจากฝักและเมล็ดของกระเจี๊ยบเขียวอาจมีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ โดยเฉพาะสารสกัดจากส่วนเมล็ด

อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยขนาดเล็กที่ค้นคว้าในห้องทดลองเท่านั้น จึงยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเพียงพอยืนยันประสิทธิภาพของกระเจี๊ยบเขียวต่อการต้านสารอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์มนุษย์ได้ ควรศึกษาทดลองในมนุษย์เพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต

บรรเทาอาการเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย แม้การออกกำลังกายและการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากอาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง แต่ในทางกลับกันก็อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียได้เช่นกัน หลายคนเลือกบริโภคสมุนไพรอย่างกระเจี๊ยบเขียวซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุด้วยความเชื่อที่ว่าอาจช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียได้ ซึ่งมีงานวิจัยหนึ่งเผยว่ากระเจี๊ยบเขียวอาจช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลียและย่นเวลาในการฟื้นตัวหลังมีอาการดังกล่าวได้ โดยงานวิจัยนี้ให้หนูทดลองเพศผู้รับประทานสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวปริมาณ 0.8-3.2 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แล้วให้หนูทดลองว่ายน้ำ พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวสามารถว่ายน้ำได้นานกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับสารดังกล่าวถึง 30.5 เปอร์เซ็นต์ จึงคาดว่าสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวอาจมีฤทธิ์บรรเทาอาการเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียได้อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยข้างต้นเป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น ไม่ได้ทดลองกับมนุษย์โดยตรง จึงไม่อาจยืนยันได้ว่ากระเจี๊ยบเขียวช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียในมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้น ควรศึกษาเพิ่มเติมและทดลองใช้กระเจี๊ยบเขียวกับมนุษย์ เพื่อยืนยันสมมติฐานด้านนี้ให้ชัดเจน และนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์กับอาการอื่น ๆ ต่อไป

รักษาโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ การเลือกบริโภคอาหารให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาและป้องกันโรคนี้ด้วยเช่นกัน หลายคนจึงเลือกบริโภคสมุนไพรที่มีน้ำตาลน้อยอย่างกระเจี๊ยบเขียว เพราะเชื่อว่าอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและรักษาโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีงานวิจัยหลายชิ้นศึกษาในด้านนี้แล้วพบว่า สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวอาจเป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคเบาหวานด้วยการลดระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลและลดระดับไขมันในเลือดได้ด้วย

โดยมีงานวิจัยหนึ่งทดลองใช้สารสกัดจากเมล็ดและผิวของกระเจี๊ยบเขียวฉีดเข้าช่องท้องของหนูทดลองที่เป็นโรคเบาหวานในปริมาณ 60 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าสารสกัดดังกล่าวอาจมีฤทธิ์ต้านเบาหวานด้วยการลดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดของหนูทดลองลงอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ผลการทดลองจากงานวิจัยบางส่วนจะเผยว่า สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวอาจช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ แต่งานวิจัยเหล่านั้นเป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น จึงไม่สามารถสรุปประสิทธิผลของกระเจี๊ยบเขียวในด้านนี้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ควรค้นคว้าเพิ่มเติมโดยทดลองในมนุษย์ต่อไป เพื่อนำหลักฐานที่ได้มาพิสูจน์ให้แน่ชัดก่อนนำกระเจี๊ยบเขียวไปใช้ในทางการแพทย์

ข้อควรระวังในการบริโภคกระเจี๊ยบเขียว

แม้กระเจี๊ยบเขียวมีสารอาหารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มาก และอาจไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่อคนทั่วไปหากบริโภคเป็นอาหารในปริมาณที่เหมาะสม แต่ผู้บริโภคควรรับประทานกระเจี๊ยบเขียวอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการรับประทานแบบสด เพราะกลิ่นเหม็นเขียวของกระเจี๊ยบเขียวสดอาจทำให้เกิดอันตราย เช่น อาการเบื่อเมาได้ จึงควรต้มหรือลวกกระเจี๊ยบเขียวให้สุกจัดก่อนบริโภค เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายดังกล่าว ส่วนยางหรือเมือกของกระเจี๊ยบเขียวที่คนส่วนใหญ่เป็นกังวลนั้น อาจไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย เพราะเมือกดังกล่าวสามารถละลายน้ำได้ อีกทั้งยังช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์เมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ยังไม่มีการทดลองทางการแพทย์ใดยืนยันได้ชัดเจนว่ากระเจี๊ยบเขียวสามารถรักษาหรือป้องกันโรคต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคกระเจี๊ยบเขียวเสมอ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการรักษา เพราะมีงานวิจัยหนึ่งพบว่ากระเจี๊ยบเขียวอาจยับยั้งการทำงานของยาเมทฟอร์มิน ซึ่งเป็นยาที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

นอกจากนี้ จากการสุ่มตรวจหาสารพิษตกค้างจากพืชผลการเกษตรของกระทรวงสาธารณสุขประเทศไทยยังพบว่า กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีสารพิษต่าง ๆ ตกค้างอยู่มาก เช่น สารคลอร์พิริฟอส สารคาร์โบซัลแฟน และสารกลุ่มไดไทโอคาร์บาเมตส์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หากรับสารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก เพราะสารบางชนิดอาจมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติ จนรู้สึกชาตามใบหน้า ลิ้น ริมฝีปาก และทำให้ชักได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค จึงควรเลือกซื้อกระเจี๊ยบเขียวจากแหล่งปลอดสาร และล้างกระเจี๊ยบเขียวให้สะอาดก่อนรับประทานทุกครั้ง ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำวิธีการล้างสารพิษตกค้างในผัก ไว้ดังนี้

  • ล้างด้วยน้ำไหล โดยนำกระเจี๊ยบเขียวไปแช่ในน้ำสักพัก ก่อนนำมาใส่ไว้ในตะกร้าหรือตะแกรง แล้วจึงเปิดให้น้ำไหลผ่านกระเจี๊ยบเขียวในความแรงที่พอประมาณ พร้อมกับใช้มือถูกระเจี๊ยบเขียวไปด้วยประมาณ 2 นาที ซึ่งวิธีนี้อาจลดสารพิษตกค้างได้ 25-65 เปอร์เซ็นต์
  • ล้างด้วยน้ำส้มสายชู โดยนำน้ำส้มสายชูปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำ 4 ลิตรมาผสมให้เข้ากัน แล้วจึงนำกระเจี๊ยบเขียวมาแช่ทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซึ่งวิธีนี้อาจลดสารพิษตกค้างได้ 60-84 เปอร์เซ็นต์
  • ล้างด้วยผงฟูหรือเบคกิ้งโซดา โดยนำผงฟูหรือเบคกิ้งโซดาปริมาณ ½ ช้อนโต๊ะ กับน้ำ 10 ลิตรมาผสมให้เข้ากัน แล้วจึงนำกระเจี๊ยบเขียวมาแช่ทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซึ่งวิธีนี้อาจลดสารพิษตกค้างได้ 90-95 เปอร์เซ็นต์