อ่อนเพลีย

ความหมาย อ่อนเพลีย

อ่อนเพลีย (Fatigue) เป็นอาการที่บ่งบอกถึงความรู้สึกเหนื่อยล้า ขาดแรงจูงใจหรือขาดพลังงาน สาเหตุที่พบบ่อยคือ โรคประจำตัวที่มีความรุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงมาก หรือเป็นผลมาจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เช่น ขาดการออกกำลังกาย หรือการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่เพียงพอ

อ่อนเพลีย

หากพบว่าอาการอ่อนเพลียไม่สามารถดีขึ้นได้ด้วยการพักผ่อนหรือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือสงสัยว่ามีสาเหตุมาจากสุขภาพร่างกายหรือจิตใจที่อ่อนแอ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

อาการอ่อนเพลีย
อาการอ่อนเพลียเป็นอาการที่เกิดจากโรคหรือภาวะบางอย่างที่อธิบายได้หลากหลายรูปแบบ โดยเป็นอาการที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแอ หรือหมดแรง

อาการอ่อนเพลียอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

  • ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคปอด หรือภาวะโลหิตจาง อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น หายใจตื้น หรือเหนื่อยง่ายระหว่างทำกิจวัตรประจำวัน
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย คือ ภาวะปัสสาวะมาก (Polyuria) ดื่มน้ำมากผิดปกติ (Polydypsia) หรือมีการมองเห็นที่เปลี่ยนแปลงไป
  • ผู้ป่วยภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย คือ รู้สึกหนาว ผิวแห้งและผมเปราะ

สาเหตุของอาการอ่อนเพลีย
สาเหตุของอาการอ่อนเพลีย สามารถแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ปัจจัยการดำเนินชีวิต ภาวะทางสุขภาพ และปัญหาสุขภาพจิต 

  • ปัจจัยการดำเนินชีวิต
    • ดื่มเครืองดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือการใช้ยาเสพติดเป็นประจำ
    • ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
    • ออกกำลังกายหนักเกินไป
    • ทำงานหนักเกินไป
    • ขาดการออกกำลังกาย
    • ขาดการนอนหลับ
    • อาการเจ็ตแล็ก (Jet lag) 
    • มีนิสัยรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
    • มีน้ำหนักตัวมากเกินหรือเป็นโรคอ้วน
    • ใช้ยารักษาโรคบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ ยารักษาอาการซึมเศร้า และยากล่อมประสาท
    • อยู่ในช่วงเวลาที่มีความเครียด
    • เบื่อหน่าย หรือกำลังเศร้าโศก
  • ภาวะทางสุขภาพ อาการอ่อนเพลียที่เป็นอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นผลกระทบจากการใช้ยารักษาโรค หรือวิธีบำบัดรักษาโรค หรือเป็นสัญญาณของภาวะทางสุขภาพ ได้แก่
    • อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome)
    • การติดเชื้อหรือการอักเสบเรื้อรัง
    • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
    • โรคถุงลมโป่งพอง
    • ภาวะโลหิตจาง
    • ภาวะตับวายเฉียบพลัน
    • โรคไตเรื้อรัง
    • โรคเมราลเจีย พาเรสเธทิคา (Meralgia Paresthetica)
    • โรคเบาหวาน
    • โรคหัวใจ
    • ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน
    • ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
    • โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
    • โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
    • โรคอ้วน
    • โรคมะเร็ง
    • การตั้งครรภ์
    • มีอาการเจ็บปวดนานต่อเนื่อง
    • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    • การกินสารพิษเข้าไป
    • การใช้ยารักษาและการรักษาโรค เช่น เคมีบำบัด ฉายรังสี ยาแก้ปวด ยาโรคหัวใจ และยารักษาอาการซึมเศร้า
  • ปัญหาสุขภาพจิต อาการอ่อนเพลียเกิดขึ้นจากปัญหาสุขภาพจิตได้ ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยของโรคทางจิต เช่น
    • โรควิตกกังวล
    • โรคเครียด
    • โรคซึมเศร้า
    • โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Depression)

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์?

หากพบว่ามีอาการอ่อนเพลียที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต และมีอาการ ได้แก่ คิดอยากทำร้ายตัวเองหรือคิดฆ่าตัวตาย หรือมีความกังวลว่าตนเองจะไปทำร้ายคนอื่น และหากมีอาการอ่อนเพลียที่มีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์

  • เจ็บหน้าอก
  • หายใจหอบเหนื่อย
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นเร็ว
  • รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
  • ปวดท้องรุนแรง ปวดหลังหรือเชิงกราน

นอกจากนั้น หากพบว่ามีอ่อนเพลียที่มีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์ในทันที

  • มีเลือดออกผิดปกติ รวมไปถึงมีเลือดออกทางทวารหนัก หรืออาเจียนเป็นเลือด
  • ปวดศีรษะรุนแรง

การวินิจฉัยอาการอ่อนเพลีย
การวินิจฉัยอาการอ่อนเพลีย แพยท์จะสอบถามข้อมูลผู้ป่วย ได้แก่ ช่วงเวลาที่เกิดอาการ หรืออาการอื่น ๆ ที่เป็นร่วมด้วย โรคประจำตัว พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียด รวมไปถึงยารักษาโรคที่กำลังใช้อยู่ หลังจากนั้น หากแพทย์ได้สันนิษฐานว่าผู้ป่วยมีสาเหตุของอาการอ่อนเพลียจากโรคหรือภาวะทางร่างกาย แพทย์อาจให้ทำการทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือดหรือการตรวจปัสสาวะ

การรักษาอาการอ่อนเพลีย
เนื่องจากอาการอ่อนเพลียเป็นอาการที่เกิดจากโรคประจำตัวหรือโรคพื้นหลัง ดังนั้น การรักษาจึงขึ้นอยู่กับภาวะที่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากทางด้านร่างกายหรือจิตใจ หรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน

ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยภาวะโลหิตจาง อาการอ่อนเพลียจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อปริมาณเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น หรือผู้ป่วยโรคติดเชื้ออาการอ่อนเพลียจะดีขึ้นเมื่อการติดเชื้อหมดไป
หรือผู้ป่วยโรคไทรอยด์อาการอ่อนเพลียจะดีขึ้นเมื่อได้รับการรักษาจนฮอร์โมนกลับมาเป็นปกติ

ภาวะแทรกซ้อนของอาการอ่อนเพลีย
อาการอ่อนเพลียไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เนื่องจากเป็นอาการที่มีสาเหตุจากปัญหาทางสุขภาพหรือโรคประจำตัว แต่ทำให้รู้สึกเหนื่อยหรือหมดแรง ผู้ที่มีอาการจึงอาจจำเป็นต้องได้รับการพักผ่อน เนื่องจากร่างกายขาดพลังงานและไม่แข็งแรง

การป้องกันอาการอ่อนเพลีย

อาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นทั่วไป ซึ่งไม่มีความรุนแรง ป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่หากการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ามาก อาจออกกำลังกายเบา ๆ ด้วยการเดินระยะสั้น
  • รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและรับประทานอย่างพอเหมาะ โดยไม่ควรข้ามมื้ออาหารโดยเฉพาะมื้อเช้า
  • ดื่มน้ำอย่างพอเหมาะ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หากเกิดปัญหาทางอารมณ์ ควรเผชิญหน้าและแก้ไข้ปัญหา ไม่ควรเพิกเฉยและหนีปัญหา อาจปรึกษาคนใกล้ชิดเพื่อขอความช่วยเหลือในการแก้ปัญหา
  • หาทางจัดการกับความเครียดและทำงานในปริมาณที่เหมาะสม
  • หาเวลาว่างทำกิจกรรมเพื่อให้ผ่อนคลาย เช่น การเล่นโยคะ
  • หลีกเลี่ยงการบริโถคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทุกชนิด

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอาจช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพซึ่งเป็นสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย ควรได้รับการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ เพราะหากไม่ได้รับการรักษา อาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและสภาพจิตใจมากขึ้นได้