ไกลเมพิไรด์ (Glimepiride)

ไกลเมพิไรด์ (Glimepiride)

Glimepiride (ไกลเมพิไรด์) เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โดยยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินของร่างกายเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในการใช้ยานี้ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ในบางกรณีอาจใช้ร่วมกับยารักษาโรคเบาหวานชนิดอื่นร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังอาจใช้ยานี้เพื่อจุดประสงค์อื่นตามดุลยพินิจของแพทย์

ไกลเมพิไรด์ (Glimepiride)

เกี่ยวกับยา Glimepiride

กลุ่มยา กลุ่มยาซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ ดังนั้น ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา Glimepiride

คำเตือนในการใช้ยา Glimepiride 

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  • แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งหากมีประวัติแพ้ยาต่าง ๆ โดยเฉพาะยา Glimepiride ยากลุ่มซัลฟา (Sulfonamides) และยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย รวมถึงหากกำลังใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร วิตามิน หรือยาอื่นอยู่ เช่น ยาต้านเชื้อรา ยารักษาโรคเบาหวาน ยาลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยารักษาความดันโลหิตสูง 
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับขั้นรุนแรง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตขั้นรุนแรง และผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน อย่างภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic Ketoacidosis) หรือมีภาวะโคม่าจากเบาหวาน ไม่ควรใช้ยานี้
  • ผู้ที่ป่วยหรือมีปัญหาทางด้านสุขภาพ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา Glimepiride  เช่น ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD Deficiency) โรคไทรอยด์ ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ ภาวะฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ มีไข้ ติดเชื้อ ต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือมีความผิดปกติอื่นที่อาจส่งผลให้เกิดความเครียด 
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนถึงกำหนดคลอด โดยแพทย์จะให้หยุดใช้ยานี้ก่อนคลอด 2 สัปดาห์ เนื่องจากตัวยาอาจส่งผลให้ทารกเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขั้นรุนแรงได้
  • ผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ และควรแจ้งให้แพทย์ทราบเช่นกันหากใช้ยานี้แล้วทารกเกิดอาการผิดปกติ เช่น ง่วงซึมผิดปกติ ไม่ยอมรับประทานอาหาร เกิดผื่นตามร่างกาย ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีม่วง มีไข้ หรือชัก
  • ผู้ที่กำลังใช้ยาคุมกำเนิดควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ เนื่องจากยาคุมกำเนิดอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของยา Glimepiride
  • ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือทำฟันในขณะใช้ยานี้ ควรแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบก่อน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขณะใช้ยานี้ เนื่องจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงผิดปกติ 
  • ผู้สูงอายุที่ต้องใช้ยานี้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษาอย่างเคร่งครัด เนื่องจากผู้สูงอายุอาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้ง่าย
  • การใช้ยานี้อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการมองไม่ชัด เวียนศีรษะ และง่วงซึมได้ ดังนั้น ระหว่างใช้ยานี้ ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือการทำกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
  • การใช้ยานี้อาจส่งผลให้ผิวหนังของผู้ป่วยไวต่อแสงแดดได้ ดังนั้น ระหว่างใช้ยานี้ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด รวมถึงการใช้เตียงอบผิวแทน แต่หากมีความจำเป็นต้องโดนแสงแดด ให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ช่วยป้องกันแสงแดดและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 เสมอ

ปริมาณการใช้ยา Glimepiride 

ในการใช้ยา Glimepiride เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 แพทย์จะพิจารณาจากระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย 

โดยในช่วงเริ่มต้น แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาครั้งละ 1 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณยาตามการตอบสนองของยาของผู้ป่วยในช่วง 1–2 สัปดาห์ของการรักษา โดยส่วนใหญ่ แพทย์จะเพิ่มปริมาณยาให้อยู่ที่ประมาณ 4 มิลลิกรัม หรืออาจมากกว่านั้นในบางกรณี แต่แพทย์จะกำหนดปริมาณยาสูงสุดที่ไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อวัน

การใช้ยา Glimepiride

ผู้ที่ใช้ยา Glimepiride ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักตัว และออกกำลังกายร่วมด้วยเพื่อผลการรักษาที่ดีขึ้น รวมถึงผู้ป่วยไม่ควรหยุดรับประทานยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากการรับประทานยานี้ให้เห็นผลต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง 

ในการรับประทานยา ผู้ป่วยควรรับประทานยาก่อนอาหารมื้อแรกของวันและควรรับประทานอาหารตามทันที หากลืมรับประทานยาให้รีบรับประทานยาทันที แต่หากใกล้ถึงเวลาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาในรอบถัดไปโดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า และแจ้งให้แพทย์ทราบหากลืมรับประทานยาบ่อย ๆ

ในระหว่างที่ใช้ยานี้ แพทย์อาจนัดผู้ป่วยเป็นระยะเพื่อตรวจดูระดับน้ำตาลในเลือด และการตอบสนองต่อยา ซึ่งผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

ในบางกรณี ยา Glimepiride อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ส่งผลให้พบอาการผิดปกติบางอย่าง เช่น เหงื่อออกมาผิดปกติ ตัวสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อยากอาหาร มองไม่ชัด เวียนศีรษะ หรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มบริเวณมือและฝ่าเท้า 

ในเบื้องต้น ให้ผู้ป่วยรับประทานน้ำหวานหรือน้ำตาลปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ หรือน้ำหวานครึ่งแก้ว และวัดระดับน้ำตาลในเลือดอีกครั้งหลังจากผ่านไป 15 นาที หากระดับน้ำตาลในเลือดยังต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ให้ปฏิบัติตามวิธีในข้างต้นซ้ำอีกครั้ง   

หากอาการยังไม่ดีขึ้นหลังจากปฏิบัติตามวิธีในข้างต้นครบ 2 ครั้ง ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม 

สำหรับการเก็บรักษายา ผู้ป่วยควรเก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงความร้อนและความชื้น เก็บให้พ้นมือเด็ก และห้ามรับประทานยาหากยาหมดอายุ

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Glimepiride

การใช้ยา Glimepiride อาจส่งผลข้างเคียงบางอย่างได้ อาการที่พบได้บ่อย เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย 

ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากใช้ยานี้แล้วพบอาการในลักษณะข้างต้นและอาการไม่ดีขึ้น มีความรุนแรงขึ้น หรือพบสัญญาณของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) เช่น กระหายน้ำผิดปกติ ปัสสาวะมากผิดปกติ สับสน ง่วงซึม หน้าแดง หายใจถี่ หรือลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ 

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยา Glimepiride และไปพบแพทย์ทันที หากพบอาการที่รุนแรงหลังการใช้ยา เช่น

  • สัญญาณของอาการแพ้ยา เช่น หายใจลำบาก หรือเกิดอาการบวมบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ  
  • มีไข้ขึ้น เจ็บคอ แสบตา ร่วมกับการเกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น เจ็บผิวหนัง เกิดรอยผื่นสีแดงหรือสีม่วงร่วมกับแผลพุพองและผิวหนังลอก 
  • สัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ขึ้น เจ็บคอเรื้อรัง 
  • อาการอื่น ๆ เช่น ผิวหนังซีด ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดวงตามีสีเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม สับสน อ่อนเพลีย ปวดท้อง เลือดออกง่าย เกิดรอยช้ำตามร่างกาย อารมณ์แปรปรวน น้ำหนักขึ้นผิดปกติ หรือชัก